태국
작성 2016-06-10 19:22:48, 조회 419 태국어 요한복음pastors |
---|
ในปฐมกาลพระวาทะดำรงอยู่
1:1 ในปฐมกาลพระวาทะดำรงอยู่ และพระวาทะทรงสถิตอยู่กับพระเจ้า และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า 1:2 ในปฐมกาลพระองค์ทรงดำรงอยู่กับพระเจ้า 1:3 พระเจ้าทรงสร้างสิ่งทั้งปวงขึ้นมาโดยพระวาทะ ในบรรดาสิ่งที่เป็นมานั้น ไม่มีสักสิ่งเดียวที่ได้เป็นมานอกเหนือพระวาทะ 1:4 พระองค์ทรงเป็นแหล่งชีวิต และชีวิตนั้นเป็นความสว่างของมนุษย์ 1:5 ความสว่างส่องเข้ามาในความมืด และความมืดหาได้ชนะความสว่างไม่ 1:6 มีชายคนหนึ่งที่พระเจ้าทรงใช้มาชื่อยอห์น 1:7 ท่านมาเพื่อเป็นสักขีพยาน เพื่อเป็นพยานให้แก่ความสว่างนั้น เพื่อคนทั้งปวงจะได้มีความเชื่อเพราะท่าน 1:8 ท่านไม่ใช่ความสว่างนั้น แต่ท่านมาเพื่อเป็นพยานให้แก่ความสว่างนั้น 1:9 ความสว่างแท้ที่ทำให้มนุษย์ทุกคนเห็นความจริงนั้นได้ แม้ขณะนั้นกำลังเข้ามาในโลก 1:10 พระองค์ทรงอยู่ในโลก ซึ่งพระเจ้าทรงสร้างขึ้นมาทางพระองค์ แต่โลกหาได้รู้จักพระองค์ไม่ 1:11 พระองค์ได้เสด็จมายังบ้านเมืองของพระองค์ และชาวบ้านชาวเมืองของพระองค์ไม่ได้ต้อนรับพระองค์ 1:12 แต่ส่วนบรรดาผู้ที่ต้อนรับพระองค์ผู้ที่เชื่อในพระนามของพระองค์ พระองค์ก็ทรงประทานสิทธิให้เป็นบุตรของพระเจ้า 1:13 ซึ่งในฐานะนั้นเป็นผู้ที่มิได้เกิดจากเลือดเนื้อ หรือกาม หรือความประสงค์ของมนุษย์ แต่เกิดจากพระเจ้า 1:14 พระวาทะได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และทรงอยู่ท่ามกลางเรา บริบูรณ์ด้วยพระคุณและความจริง เราทั้งหลายได้เห็นพระสิริของพระองค์ คือ พระสิริอันสมกับพระบุตรองค์เดียวของพระบิดา 1:15 ยอห์นได้เป็นพยานให้แก่พระองค์ และร้องประกาศว่า " นี่แหละคือพระองค์ผู้ที่ข้าพเจ้าได้กล่าวถึงว่า พระองค์ผู้เสด็จมาภายหลังข้าพเจ้าทรงเป็นใหญ่กว่าข้าพเจ้า เพราะว่าพระองค์ทรงดำรงอยู่ก่อนข้าพเจ้า " 1:16 และเราทั้งหลายได้รับจากความบริบูรณ์ของพระองค์ เป็นพระคุณซ้อนพระคุณ 1:17 เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงประทานธรรมบัญญัตินั้นทางโมเสส ส่วนพระคุณและความจริงมาทางพระเยซูคริสต์ 1:18 ไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้าเลย พระบุตรองค์เดียวผู้ทรงสถิตอยู่ในพระทรวงของพระบิดา พระองค์ได้ทรงสำแดงพระเจ้าแล้ว 1:19 นี่เป็นคำพยานของยอห์น คือเมื่อพวกยิวส่งพวกปุโรหิตและพวกเลวีจากกรุงเยรูซาเล็มไปถามท่านว่า " ท่านคือผู้ใด " 1:20 ท่านได้ยอมรับ ท่านมิได้ปฏิเสธ คือได้ยอมรับว่า " ข้าพเจ้าไม่ใช่พระคริสต์ " 1:21 เขาทั้งหลายจึงถามว่า " ถ้าเช่นนั้นท่านเป็นใครเล่า ท่านเป็นเอลียาห์หรือ " ท่านตอบว่า " ข้าพเจ้าไม่ใช่เอลียาห์ " " ท่านเป็นผู้เผยพระวจนะนั้นหรือ " และท่านตอบว่า " มิได้ " 1:22 คนเหล่านั้นจึงถามว่า " ท่านเป็นใคร ขอให้เราได้รับคำตอบเพื่อจะได้ไปบอกผู้ที่ใช้เรามา ท่านกล่าวว่าท่านเป็นใคร " 1:23 ท่านตอบว่า " เราเป็นเสียงของผู้ที่ร้องประกาศในถิ่นทุรกันดารว่า " จงกระทำมรรคาขององค์พระผู้เป็นเจ้าให้ตรงไป ตามที่อิสยาห์ผู้เผยพระวจนะได้กล่าวไว้ " 1:24 ฝ่ายผู้ที่พวกฟาริสีส่งไปนั้น 1:25 เขาเหล่านั้นก็ได้ถามท่านว่า " ถ้าท่านไม่ใช่พระคริสต์ หรือเอลียาห์ หรือผู้เผยพระวจนะนั้นแล้ว ทำไมท่านจึงทำพิธีบัพติศมา { พิธีชำระใช้น้ำเป็นสัญลักษณ์ เล็งถึงการที่พระเจ้าทรงให้อภัยคนบาป }" 1:26 ยอห์นได้ตอบเขาเหล่านั้นว่า " ข้าพเจ้าให้บัพติศมาด้วยน้ำ แต่มีพระองค์หนึ่งซึ่งประทับอยู่ในหมู่พวกท่านนั้น ท่านไม่รู้จัก 1:27 พระองค์นั้นแหละมาภายหลังข้าพเจ้า แม้สายรัดฉลองพระบาทของพระองค์ ข้าพเจ้าก็ไม่บังควรที่จะแก้ " 1:28 เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่หมู่บ้านเบธานีฟากแม่น้ำจอร์แดน ข้างตะวันออกอันเป็นที่ซึ่งยอห์นกำลังให้บัพติศมาอยู่ 1:29 วันรุ่งขึ้นยอห์นเห็นพระเยซูกำลังเสด็จมาทางท่าน ท่านจึงกล่าวว่า " จงดูพระเมษโปดก { คำศัพท์แปลว่า ลูกแกะ } ของพระเจ้า ผู้ทรงรับความผิดบาปของโลกไปเสีย 1:30 พระองค์นี้แหละที่ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า " ภายหลังข้าพเจ้า จะมีผู้หนึ่งเสด็จมาเป็นใหญ่กว่าข้าพเจ้า เพราะว่าพระองค์ทรงดำรงอยู่ก่อนข้าพเจ้า " 1:31 ข้าพเจ้าเองก็ไม่ได้รู้จักพระองค์ แต่เพื่อให้พระองค์ทรงเป็นที่ประจักษ์แก่พวกอิสราเอล ข้าพเจ้าจึงได้มาให้บัพติศมาด้วยน้ำ " 1:32 และยอห์นกล่าวเป็นพยานว่า " ข้าพเจ้าเห็นพระวิญญาณเหมือนดังนกพิราบ เสด็จลงมาจากสวรรค์และทรงสถิตบนพระองค์ 1:33 ข้าพเจ้าเองไม่รู้จักพระองค์ แต่พระองค์ทรงใช้ให้ข้าพเจ้าให้บัพติศมาด้วยน้ำ ได้ตรัสกับข้าพเจ้าว่า " เมื่อเจ้าเห็นพระวิญญาณเสด็จลงมาสถิตอยู่บนผู้ใด ผู้นั้นแหละเป็นผู้ให้บัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ " 1:34 และข้าพเจ้าก็ได้เห็นแล้วและได้เป็นพยานว่า พระองค์นี้แหละเป็นพระบุตรของพระเจ้า " 1:35 รุ่งขึ้นอีกวันหนึ่งยอห์นกำลังยืนอยู่กับสาวกของท่านสองคน 1:36 และท่านมองดูพระเยซูขณะที่พระองค์ทรงดำเนินและกล่าวว่า " จงดูพระเมษโปดกของพระเจ้า " 1:37 สาวกสองคนนั้นได้ยินท่านพูดเช่นนี้ เขาจึงติดตามพระเยซูไป 1:38 พระเยซูทรงเหลียวกลับมาและเห็นเขาตามพระองค์ไป จึงตรัสถามเขาว่า " ท่านหาอะไร " และเขาทั้งสองทูลพระองค์ว่า " รับบี ( ซึ่งแปลว่าอาจารย์ ) ท่านอยู่ที่ไหน " 1:39 พระองค์ตรัสตอบเขาว่า " มาดูเถิด " เขาก็ไปและเห็นที่ซึ่งพระองค์ทรงพำนัก และวันนั้นเขาก็ได้พักอยู่กับพระองค์ เพราะขณะนั้นประมาณสี่โมงเย็นแล้ว 1:40 คนหนึ่งในสองคนที่ได้ยินยอห์นพูดและได้ติดตามพระองค์ไปนั้น คืออันดรูว์น้องชายของซีโมนเปโตร 1:41 แล้วอันดรูว์ก็ไปหาซีโมนพี่ชายของตนก่อน และบอกเขาว่า " เราได้พบพระเมสสิยาห์ { คำภาษาฮีบรูและคำภาษากรีก หมายความว่า ผู้ที่พระเจ้าทรงเจิม } แล้ว " ( ซึ่งแปลว่าพระคริสต์ ) 1:42 อันดรูว์จึงพาซีโมนไปเฝ้าพระเยซู พระเยซูทรงทอดพระเนตรเขาแล้วจึงตรัสว่า " ท่านคือซีโมนบุตรยอห์นซีนะ เขาจะเรียกท่านว่าเคฟาส " ( ซึ่งแปลว่าศิลา ) 1:43 รุ่งขึ้นพระเยซูตั้งพระทัยจะเสด็จไปยังแคว้นกาลิลี พระองค์ทรงพบฟีลิปจึงตรัสกับเขาว่า " จงตามเรามา " 1:44 ฟีลิปมาจากเบธไซดาเมืองของอันดรูว์และเปโตร 1:45 ฟีลิปไปหานาธานาเอลบอกเขาว่า " เราได้พบพระองค์ผู้ที่โมเสสได้กล่าวถึงในหนังสือธรรมบัญญัติ และที่พวกผู้เผยพระวจนะได้กล่าวถึง คือ พระเยซู ชาวนาซาเร็ธบุตรโยเซฟ " 1:46 นาธานาเอลถามเขาว่า " สิ่งดีอันใดจะมาจากนาซาเร็ธได้หรือ " ฟีลิปตอบว่า " มาดูเถิด " 1:47 พระเยซูทรงเห็นนาธานาเอลมาหา พระองค์จึงตรัสถึงเรื่องของตัวเขาว่า " ดูเถิด ชนอิสราเอลแท้ ในตัวเขาไม่มีอุบาย " 1:48 นาธานาเอลทูลถามพระองค์ว่า " พระองค์ทรงรู้จักข้าพระองค์ได้อย่างไร " พระเยซูตรัสตอบเขาว่า " ก่อนที่ฟีลิปจะเรียกท่าน เมื่อท่านอยู่ที่ใต้ต้นมะเดื่อนั้น เราเห็นท่าน " 1:49 นาธานาเอลทูลตอบพระองค์ว่า " รับบี พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ของชนชาติอิสราเอล " 1:50 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า " เพราะเราบอกท่านว่า เราเห็นท่านอยู่ใต้ต้นมะเดื่อนั้นท่านจึงเชื่อหรือ ท่านจะได้เห็นเหตุการณ์ใหญ่กว่านั้นอีก " 1:51 และพระองค์ตรัสกับเขาว่า " เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านจะได้เห็นท้องฟ้าเบิกออก และบรรดาทูตสวรรค์ของพระเจ้าขึ้นและลงอยู่เหนือบุตรมนุษย์ "
2:1 วันที่สามมีงานสมรสที่หมู่บ้านคานาแคว้นกาลิลี และมารดาของพระเยซูก็อยู่ที่นั่น 2:2 พระเยซูและสาวกของพระองค์ได้รับเชิญไปในงานนั้น 2:3 เมื่อเหล้าองุ่น { เครื่องดื่มที่ชาวปาเลสไตน์ดื่มกันเป็นประจำ แม้ว่าในพระคริสตธรรมคัมภีรไม่บัญญัติห้ามดื่มเหล้าองุ่น แต่ก็มีคำเตือน ไม่ให้ดื่มเหล้าองุ่นจนเกิดความเสียหาย } หมดแล้ว มารดาของพระเยซูทูลพระองค์ว่า " เขาไม่มีเหล้าองุ่น " 2:4 พระเยซูตรัสกับนางว่า " หญิงเอ๋ย ให้เป็นธุระของข้าพเจ้าเถิด เวลาของข้าพเจ้ายังไม่มาถึง " 2:5 มารดาของพระองค์จึงบอกพวกคนใช้ว่า " จงกระทำตามที่ท่านสั่งเจ้าเถิด " 2:6 มีโอ่งหินตั้งอยู่ที่นั่นหกใบตามธรรมเนียมการชำระของพวกยิว จุน้ำโอ่งละสี่ห้าถัง 2:7 พระเยซูตรัสสั่งเขาว่า " จงตักน้ำใส่โอ่งให้เต็มเถิด " และเขาก็ตักน้ำเต็มโอ่งเสมอปาก 2:8 แล้วพระองค์ตรัสสั่งเขาว่า " จงตักเอาไปให้เจ้าภาพเถิด " เขาก็เอาไปให้ 2:9 เมื่อเจ้าภาพชิมน้ำที่กลายเป็นเหล้าองุ่นแล้ว และไม่รู้ว่ามาจากไหน ( แต่คนใช้ที่ตักน้ำนั้นรู้ ) เจ้าภาพจึงเรียกเจ้าบ่าวมา 2:10 และพูดกับเขาว่า " ใครๆเขาก็เอาเหล้าองุ่นอย่างดีมาให้ก่อน เมื่อได้ดื่มกันมากแล้วจึงเอาที่ไม่สู้ดีมา แต่ท่านเก็บเหล้าองุ่นอย่างดีไว้จนถึงบัดนี้ " 2:11 นี่เป็นการกระทำอันเป็นหมายสำคัญครั้งแรกของพระเยซู ทรงกระทำที่บ้านคานาแคว้นกาลิลี และได้ทรงสำแดงพระสิริของพระองค์ และสาวกของพระองค์ก็ได้วางใจในพระองค์ 2:12 ภายหลังเหตุการณ์นี้ พระองค์ก็เสด็จต่อไปยังเมืองคาเปอรนาอุม พร้อมกับมารดาและน้องชายและสาวกของพระองค์ และอยู่ที่นั่นเพียงไม่กี่วัน 2:13 เทศกาลปัสกา { เทศกาลของพวกยิว เพื่อระลึกถึง การที่พระเจ้าทรงช่วยกู้ชาติของตน ให้พ้นจากการเป็นทาสในอียิปต์ } ของพวกยิวใกล้เข้ามาแล้ว พระเยซูเสด็จขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม 2:14 ในบริเวณพระวิหารพระองค์ทรงเห็นคนขายวัว ขายแกะ ขายนกพิราบ และคนรับแลกเงินที่กำลังแลกเงินอยู่ 2:15 พระองค์ทรงเอาเชือกทำเป็นแส้ไล่คนเหล่านั้น พร้อมกับแกะและวัวออกไปจากบริเวณพระวิหาร และพระองค์ทรงเทเงินและคว่ำโต๊ะของคนรับแลกเงิน 2:16 และพระองค์ตรัสแก่บรรดาคนขายนกพิราบว่า " จงเอาของเหล่านี้ไปเสีย อย่าทำพระนิเวศของพระบิดาเราให้เป็นแหล่งค้าขาย " 2:17 พวกสาวกของพระองค์ก็ระลึกขึ้นได้ถึงคำที่เขียนไว้ว่า " ความร้อนใจ ในเรื่องพระนิเวศของพระองค์จะท่วมท้นข้าพระองค์ 2:18 พวกยิวจึงทูลพระองค์ว่า " ท่านจะแสดงนิมิตอะไรให้เราเห็นว่า ท่านมีอำนาจกระทำการเช่นนี้ได้ " 2:19 พระเยซูจึงตรัสตอบเขาทั้งหลายว่า " ถ้าทำลายวิหารนี้เสีย เราจะยกขึ้นในสามวัน " 2:20 พวกยิวจึงทูลว่า " พระวิหารนี้เขาสร้างถึงสี่สิบหกปีจึงสำเร็จ และท่านจะยกขึ้นใหม่ในสามวันหรือ " 2:21 แต่พระวิหารที่พระองค์ตรัสถึงนั้นคือพระกายของพระองค์ 2:22 เหตุฉะนั้นเมื่อพระองค์ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาแล้ว พวกสาวกของพระองค์ก็ระลึกได้ว่าพระองค์ตรัสดังนี้ และเขาก็เชื่อพระคัมภีรและพระดำรัสที่พระเยซูได้ตรัสแล้วนั้น 2:23 เมื่อพระองค์ประทับ ณกรุงเยรูซาเล็มในเทศกาลปัสกา มีคนเป็นอันมากได้วางใจในพระนามของพระองค์ เมื่อเขาได้เห็นหมายสำคัญที่พระองค์ได้ทรงกระทำ 2:24 แต่พระเยซูมิได้ทรงวางพระทัยในคนเหล่านั้น 2:25 เพราะพระองค์ทรงรู้จักมวลมนุษย์ และสำหรับพระองค์ไม่มีความจำเป็นที่จะมีพยานในเรื่องมนุษย์ ด้วยพระองค์เองทรงทราบว่าอะไรมีอยู่ในมนุษย์
3:1 มีชายคนหนึ่งในพวกฟาริสีชื่อนิโคเดมัส เป็นขุนนางของพวกยิว 3:2 ชายผู้นี้ได้มาหาพระเยซูในเวลากลางคืนทูลพระองค์ว่า " ท่านอาจารย์เจ้าข้า พวกข้าพเจ้าทราบอยู่ว่าท่านเป็นครูที่มาจากพระเจ้า เพราะไม่มีผู้ใดกระทำหมายสำคัญ ซึ่งท่านได้กระทำนั้นได้นอกจากว่า พระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วย " 3:3 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า " เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าผู้ใดไม่ได้บังเกิดใหม่ { หรือ จากเบื้องบน } ผู้นั้นจะเห็นแผ่นดินของพระเจ้าไม่ได้ " 3:4 นิโคเดมัสทูลพระองค์ว่า " คนชราแล้วจะบังเกิดใหม่อย่างไรได้ จะเข้าในครรภ์มารดาครั้งที่สองและบังเกิดใหม่ได้หรือ " 3:5 พระเยซูตรัสว่า " เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าผู้ใดไม่ได้บังเกิดใหม่จากน้ำและพระวิญญาณ ผู้นั้นจะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้าไม่ได้ 3:6 ซึ่งบังเกิดจากเนื้อหนังก็เป็นเนื้อหนัง และซึ่งบังเกิดจากพระวิญญาณก็เป็นวิญญาณ 3:7 อย่าประหลาดใจที่เราบอกท่านว่า ท่านทั้งหลายต้องบังเกิดใหม่ 3:8 ลม { ภาษากรีกเป็นคำเดียวกัน แปลได้ทั้งลมและวิญญาณ } ใคร่จะพัดไปข้างไหนก็พัดไปข้างนั้น และท่านได้ยินเสียงลมนั้น แต่ท่านไม่รู้ว่าลมมาจากไหนและไปที่ไหน คนที่บังเกิดจากพระวิญญาณ ก็เป็นอย่างนั้นทุกคน " 3:9 นิโคเดมัสทูลพระองค์ว่า " เหตุการณ์อย่างนี้จะเป็นไปอย่างไรได้ " 3:10 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า " ท่านเป็นอาจารย์ของชนอิสราเอล และท่านยังไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้หรือ 3:11 เราบอกความจริงแก่ท่านว่า พวกเราพูดสิ่งที่เรารู้ และเป็นพยานถึงสิ่งที่เราได้เห็น แต่ท่านทั้งหลายหาได้รับคำพยานของเราไม่ 3:12 ถ้าเราบอกท่านทั้งหลายถึงสิ่งฝ่ายโลกและท่านไม่เชื่อ ถ้าเราบอกท่านถึงสิ่งฝ่ายสวรรค์ท่านจะเชื่อได้อย่างไร 3:13 ไม่มีผู้ใดได้ขึ้นไปสู่สวรรค์ นอกจากท่านที่ลงมาจากสวรรค์คือบุตรมนุษย์ 3:14 โมเสสได้ยกงูขึ้นในถิ่นทุรกันดารฉันใด บุตรมนุษย์จะต้องถูกยกขึ้นฉันนั้น 3:15 เพื่อทุกคนที่วางใจในพระองค์จะได้ชีวิตนิรันดร์ " 3:16 เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์ 3:17 เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก มิใช่เพื่อพิพากษาลงโทษโลก แต่เพื่อช่วยกู้โลกให้รอดโดยพระบุตรนั้น 3:18 ผู้ที่วางใจในพระบุตรก็ไม่ต้องถูกพิพากษาลงโทษ ส่วนผู้ที่มิได้วางใจก็ต้องถูกพิพากษาลงโทษอยู่แล้ว เพราะเขามิได้วางใจในพระนามพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า 3:19 หลักการพิพากษามีอย่างนี้ คือความสว่างได้เข้ามาในโลกแล้ว แต่มนุษย์ได้รักความมืดมากกว่ารักความสว่าง เพราะกิจการของเขาเลวทราม 3:20 เพราะทุกคนที่ประพฤติชั่วก็เกลียดความสว่าง และไม่มาถึงความสว่าง ด้วยกลัวว่าการกระทำของตนจะปรากฏ 3:21 แต่ผู้ที่ประพฤติชอบก็มาสู่ความสว่าง เพื่อให้เห็นว่า การกระทำของเขานั้นได้กระทำโดยพึ่งพระเจ้า 3:22 หลังจากนั้น พระเยซูก็เสด็จเข้าไปในแคว้นยูเดียกับสาวกของพระองค์ และทรงประทับที่นั่นกับเขา และทรงให้บัพติศมา 3:23 ยอห์นก็ให้บัพติศมาอยู่ที่อายโนนใกล้หมู่บ้านสาลิม เพราะที่นั่นมีน้ำมาก และผู้คนก็พากันมารับบัพติศมา 3:24 เพราะยอห์นยังไม่ติดคุก 3:25 เกิดการโต้เถียงกันขึ้น ระหว่างสาวกของยอห์นและยิวผู้หนึ่ง เรื่องการชำระมลทิน 3:26 สาวกของยอห์นจึงไปหายอห์นและพูดว่า " อาจารย์เจ้าข้า ท่านที่อยู่กับอาจารย์ที่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างตะวันออก ผู้ที่อาจารย์เป็นพยานถึงนั้น นี่แน่ะ ท่านผู้นั้นให้บัพติศมา และผู้คนต่างก็พากันไปหาท่าน " 3:27 ยอห์นตอบว่า " ไม่มีมนุษย์ผู้ใดได้รับสิ่งใดเลย นอกจากที่พระเจ้าทรงประทานจากสวรรค์ให้เขา 3:28 ท่านทั้งหลายเองก็ได้เป็นพยานของข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้าได้พูดว่า ข้าพเจ้ามิใช่พระคริสต์แต่ข้าพเจ้าได้รับพระบัญชาให้นำเสด็จพระองค์ 3:29 ท่านที่มีเจ้าสาวนั่นแหละคือเจ้าบ่าว สหายของเจ้าบ่าวที่ยืนฟังเจ้าบ่าวก็ชื่นชมยินดีอย่างยิ่ง เมื่อได้ยินเสียงของเจ้าบ่าว ฉะนั้นความปีติยินดีของข้าพเจ้าจึงเต็มเปี่ยมแล้ว 3:30 พระองค์ต้องทรงยิ่งใหญ่ขึ้น แต่ข้าพเจ้าต้องด้อยลง " 3:31 พระองค์ผู้เสด็จมาจากเบื้องบนทรงเป็นใหญ่เหนือทุกสิ่ง ผู้ที่มาจากโลกก็เป็นฝ่ายโลก และพูดตามอย่างโลก พระองค์ผู้เสด็จมาจากสวรรค์ทรงเป็นใหญ่เหนือทุกสิ่ง 3:32 พระองค์ทรงเป็นพยานถึงสิ่งซึ่งพระองค์ทรงเห็นและทรงสดับ แต่ไม่มีผู้ใดรับคำพยานของพระองค์ 3:33 ผู้ที่รับคำพยานของพระองค์ก็ประทับตราลงว่า พระเจ้าทรงสัตย์จริง 3:34 เพราะพระองค์ผู้ที่พระเจ้าทรงใช้มานั้น ทรงกล่าวพระวจนะของพระเจ้า เพราะพระเจ้ามิได้ประทานพระวิญญาณอย่างจำกัด 3:35 พระบิดาทรงรักพระบุตร และทรงมอบทุกสิ่งไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์ 3:36 ผู้ที่วางใจในพระบุตรก็มีชีวิตนิรันดร์ ผู้ที่ไม่เชื่อฟังพระบุตรก็จะไม่ได้เห็นชีวิต แต่พระพิโรธของพระเจ้าตกอยู่กับเขา
4:1 เมื่อพระเยซูทรงทราบว่า พวกฟาริสีได้ยินข่าวว่า พระองค์ทรงมีสาวกและให้บัพติศมามากกว่ายอห์น 4:2 ( ความจริงพระเยซูไม่ได้ทรงให้บัพติศมาเอง แต่สาวกของพระองค์เป็นผู้ให้ ) 4:3 พระองค์จึงเสด็จออกจากแคว้นยูเดียและกลับไปยังแคว้นกาลิลีอีก 4:4 พระองค์จำต้องเสด็จผ่านแคว้นสะมาเรีย 4:5 พระองค์จึงเสด็จไปถึงเมืองหนึ่ง ชื่อสิคาร์ในแคว้นสะมาเรีย ใกล้ที่ดินซึ่งยาโคบให้แก่โยเซฟบุตรของตน 4:6 บ่อน้ำของยาโคบอยู่ที่นั่น พระเยซูทรงดำเนินทางมาเหน็ดเหนื่อย จึงประทับลงที่ข้างบ่อนั้น เป็นเวลาประมาณเที่ยง 4:7 มีหญิงชาวสะมาเรียคนหนึ่งมาตักน้ำ พระเยซูตรัสกับนางว่า " ขอน้ำให้เราดื่มบ้าง " 4:8 ขณะนั้นสาวกของพระองค์เข้าไปซื้ออาหารในเมือง 4:9 หญิงชาวสะมาเรียทูลพระองค์ว่า " ไฉนท่านผู้เป็นยิวจึงขอน้ำดื่มจากดิฉัน ผู้เป็นหญิงชาวสะมาเรีย " ( เพราะพวกยิวไม่คบหาชาวสะมาเรียเลย ) 4:10 พระเยซูตรัสตอบนางว่า " ถ้าเจ้าได้รู้จักของที่พระเจ้าประทาน และรู้จักผู้ที่พูดกับเจ้าว่า " ขอน้ำให้เราดื่มบ้าง " เจ้าก็คงจะได้ขอจากท่านผู้นั้น และท่านผู้นั้นก็คงจะให้น้ำธำรงชีวิตแก่เจ้า " 4:11 นางทูลพระองค์ว่า " ท่านเจ้าคะ ท่านไม่มีถังตัก และบ่อนี้ก็ลึก ท่านจะได้น้ำธำรงชีวิตนั้นมาจากไหน 4:12 ท่านเป็นใหญ่กว่ายาโคบบรรพบุรุษของเรา ผู้ได้ให้บ่อน้ำนี้แก่เราหรือ และยาโคบเองก็ได้ดื่มจากบ่อนี้รวมทั้งบุตรและฝูงสัตว์ของท่านด้วย " 4:13 พระเยซูตรัสตอบว่า " ทุกคนที่ดื่มน้ำนี้จะกระหายอีก 4:14 แต่ผู้ที่ดื่มน้ำซึ่งเราจะให้แก่เขานั้น จะไม่กระหายอีกเลย น้ำซึ่งเราจะให้เขานั้น จะบังเกิดเป็นบ่อน้ำพุในตัวเขาพลุ่งขึ้นถึงชีวิตนิรันดร์ " 4:15 นางทูลพระองค์ว่า " ท่านเจ้าคะ ขอน้ำนั้นให้ดิฉันเถิด เพื่อดิฉันจะได้ไม่กระหายอีก และจะได้ไม่ต้องมาตักที่นี่ " 4:16 พระเยซูตรัสกับนางว่า " ไปเรียกผัวของเจ้ามานี่เถิด " 4:17 นางทูลพระองค์ว่า " ดิฉันไม่มีผัวค่ะ " พระเยซูตรัสกับนางว่า " เจ้าพูดถูกแล้วว่าผัวไม่มี 4:18 เพราะเจ้าได้มีผัวห้าคนแล้ว และคนที่เจ้ามีอยู่เดี๋ยวนี้ก็ไม่ใช่ผัวของเจ้า เรื่องนี้เจ้าพูดจริง " 4:19 นางทูลพระองค์ว่า " ท่านเจ้าคะ ดิฉันเห็นจริงแล้วว่าท่านเป็นผู้เผยพระวจนะ 4:20 บรรพบุรุษของพวกเรานมัสการที่ภูเขานี้ แต่พวกท่านว่าตำบลที่ควรนมัสการนั้น คือเยรูซาเล็ม " 4:21 พระเยซูตรัสกับนางว่า " หญิงเอ๋ย เชื่อเราเถิด คงมีวันหนึ่งที่พวกเจ้าจะมิได้ไหว้นมัสการพระบิดา เฉพาะที่ภูเขานี้หรือที่เยรูซาเล็ม 4:22 ซึ่งเจ้านมัสการนั้นเจ้าไม่รู้จัก ซึ่งพวกเรานมัสการเรารู้จัก เพราะความรอดนั้นมาจากพวกยิว 4:23 แต่วาระนั้นใกล้เข้ามาแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อผู้ที่นมัสการอย่างถูกต้องจะนมัสการพระบิดา ด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้นนมัสการพระองค์ 4:24 พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และผู้ที่นมัสการพระองค์ ต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง " 4:25 นางทูลพระองค์ว่า " ดิฉันทราบว่าพระมาซีฮา ( ที่เรียกว่าพระคริสต์ ) จะเสด็จมา เมื่อพระองค์เสด็จมาพระองค์จะทรงชี้แจงทุกสิ่งแก่เรา " 4:26 พระเยซูตรัสกับนางว่า " เราที่พูดกับเจ้าคือท่านผู้นั้น " 4:27 ขณะนั้นสาวกของพระองค์ก็มาถึง เขาประหลาดใจที่พระองค์ทรงสนทนากับผู้หญิง แต่ไม่มีใครถามว่า " พระองค์ทรงประสงค์อะไร " หรือ " ทำไมพระองค์จึงทรงสนทนากับนาง " 4:28 หญิงนั้นจึงทิ้งหม้อน้ำไว้และเข้าไปในเมืองบอกคนทั้งปวงว่า 4:29 " มาเถิดมาดูท่านผู้หนึ่งที่เล่าถึงสิ่งสารพัดซึ่งฉันได้กระทำ ท่านผู้นี้จะเป็นพระคริสต์ได้ไหม " 4:30 คนทั้งหลายจึงพากันออกจากเมืองไปหาพระองค์ 4:31 ในระหว่างนั้นพวกสาวกทูลเชิญพระองค์ว่า " พระอาจารย์เจ้าข้า เชิญรับประทานเถิด " 4:32 แต่พระองค์ตรัสกับเขาว่า " เรามีอาหารรับประทานที่ท่านทั้งหลายไม่รู้ " 4:33 พวกสาวกจึงถามกันว่า " มีใครเอาอาหารมาถวายพระองค์แล้วหรือ " 4:34 พระเยซูตรัสกับเขาว่า " อาหารของเราคือการกระทำตามพระทัยของพระองค์ ผู้ทรงใช้เรามา และทำให้งานของพระองค์สำเร็จ 4:35 ท่านทั้งหลายว่า อีกสี่เดือนจะถึงฤดูเกี่ยวข้าวมิใช่หรือ เราบอกท่านทั้งหลายว่า เงยหน้าขึ้นดูนาเถิด ว่าทุ่งนาเหลืองอร่าม ถึงเวลาเกี่ยวแล้ว 4:36 คนเกี่ยวก็กำลังได้รับค่าจ้าง และกำลังส่ำสมพืชผลไว้สำหรับชีวิตนิรันดร์ เพื่อทั้งคนหว่านและคนเกี่ยวจะชื่นชมยินดีด้วยกัน 4:37 เพราะในเรื่องนี้คำที่กล่าวไว้นี้เป็นความจริง คือ " คนหนึ่งหว่านและอีกคนหนึ่งเกี่ยว " 4:38 เราใช้ท่านทั้งหลายไปเกี่ยวสิ่งที่ท่านมิได้ลงแรงทำ คนอื่นได้ลงแรงทำ และท่านได้รับประโยชน์จากแรงของเขา " 4:39 ชาวสะมาเรียเป็นอันมากที่มาจากเมืองนั้น ได้มีศรัทธาในพระองค์เพราะคำพยานของหญิงผู้นั้นที่ว่า " ท่านเล่าถึงสิ่งสารพัดซึ่งฉันได้ทำ " 4:40 ฉะนั้นเมื่อชาวสะมาเรียมาถึงพระองค์เขาจึงทูลเชิญพระองค์ ให้ประทับอยู่กับเขา และพระองค์ก็ประทับที่นั่นสองวัน 4:41 และคนอื่นเป็นจำนวนมากได้วางใจ เพราะพระดำรัสของพระองค์ 4:42 เขาเหล่านั้นพูดกับหญิงนั้นว่า " ตั้งแต่นี้ไปที่เราเชื่อนั้นมิใช่เพราะคำของเจ้า แต่เพราะเราได้ยินเอง และเรารู้ว่าท่านองค์นี้แหละเป็นพระผู้ช่วยโลกให้รอดที่แท้จริง " 4:43 ครั้นล่วงไปสองวันพระองค์ก็เสด็จออกจากที่นั่นไปยังแคว้นกาลิลี 4:44 เพราะพระเยซูเองทรงเป็นพยานว่า ผู้เผยพระวจนะนั้นไม่ได้รับเกียรติในเมืองของตน 4:45 ฉะนั้นเมื่อพระองค์เสด็จไปถึงแคว้นกาลิลี ชาวกาลิลีได้ต้อนรับพระองค์ เพราะเขาได้เห็นทุกสิ่งซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำในเทศกาล ณกรุงเยรูซาเล็ม เพราะเขาทั้งหลายก็ได้ไปในเทศกาลนั้นด้วย 4:46 ฉะนั้นพระองค์จึงได้เสด็จไปยังหมู่บ้านคานาแคว้นกาลิลีอีก อันเป็นที่ซึ่งพระองค์ทรงกระทำให้น้ำกลายเป็นเหล้าองุ่น และที่เมืองคาเปอรนาอุมมีข้าราชการคนหนึ่ง บุตรชายของท่านป่วยหนัก 4:47 เมื่อท่านได้ทราบข่าวว่า พระเยซูได้เสด็จจากแคว้นยูเดียไปยังแคว้นกาลิลีแล้ว ท่านจึงไปทูลอ้อนวอนพระองค์ให้เสด็จไปรักษาบุตรของตน เพราะบุตรจวนจะตายแล้ว 4:48 พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า " ถ้าพวกท่านไม่เห็นหมายสำคัญและการอัศจรรย์ ท่านก็จะไม่เชื่อ " 4:49 ข้าราชการผู้นั้นทูลพระองค์ว่า " พระองค์เจ้าข้าขอเสด็จไปก่อนที่บุตรของข้าพระองค์จะตาย " 4:50 พระเยซูตรัสกับเขาว่า " กลับไปเถิด บุตรของท่านจะไม่ตาย " ข้าราชการผู้นั้นเชื่อพระดำรัสที่พระเยซูตรัสกับท่าน จึงทูลลาไป 4:51 ขณะที่ท่านกลับไปนั้น พวกบ่าวของท่านได้มาพบและเรียนท่านว่า บุตรของท่านหายแล้ว 4:52 ท่านจึงถามถึงเวลาที่บุตรค่อยทุเลาขึ้นนั้น และพวกบ่าวก็เรียนท่านว่า " ไข้หายเมื่อวานนี้เวลาบ่ายโมง " 4:53 บิดาจึงรู้ว่าชั่วโมงนั้นเป็นเวลาที่พระเยซูได้ตรัสกับตนว่า " บุตรของท่านจะไม่ตาย " และท่านเองก็เชื่อพร้อมทั้งครัวเรือนของท่านด้วย 4:54 นี่เป็นหมายสำคัญที่สองซึ่งพระเยซูทรงกระทำ เมื่อพระองค์เสด็จจากแคว้นยูเดียไปยังแคว้นกาลิลี
5:1 หลังจากนั้นก็ถึงเทศกาลของพวกยิว และพระเยซูก็เสด็จไปยังกรุงเยรูซาเล็ม 5:2 ในกรุงเยรูซาเล็มที่ริมประตูแกะมีสระอยู่สระหนึ่ง ภาษาฮีบรูเรียกสระนั้นว่า เบธซาธา เป็นที่ซึ่งมีศาลาห้าหลัง 5:3 ในศาลาเหล่านั้นมีคนป่วยเป็นอันมาก คนตาบอด คนง่อย และคนเป็นอัมพาตนอนอยู่ { สำเนาต้นฉบับบางฉบับเพิ่มว่า คอยน้ำกระเพื่อม } 5:4 { ด้วยมีทูตสวรรค์องค์หนึ่งของพระเจ้า ลงมากวนน้ำในสระเป็นครั้งคราว และเมื่อน้ำกระเพื่อมนั้น ผู้ใดก้าวลงไปในน้ำก่อน ก็จะหายจากโรคที่เขาเป็นอยู่นั้น } 5:5 ที่นั่นมีชายคนหนึ่งป่วยมาสามสิบแปดปีแล้ว 5:6 เมื่อพระเยซูทอดพระเนตรคนนั้น และทรงทราบว่าเขาป่วยอยู่อย่างนั้นนานแล้ว พระองค์ตรัสกับเขาว่า " เจ้าปรารถนาจะหายโรคหรือ " 5:7 คนป่วยนั้นทูลตอบพระองค์ว่า " ท่านเจ้าข้าเมื่อน้ำกำลังกระเพื่อมนั้น ไม่มีผู้ใดที่จะเอาตัวข้าพเจ้าลงไปในสระ และเมื่อข้าพเจ้ากำลังไปคนอื่นก็ลงไปก่อนแล้ว " 5:8 พระเยซูตรัสกับเขาว่า " จงลุกขึ้นยกแคร่ของเจ้าเดินไปเถิด " 5:9 ในทันใดนั้นคนนั้นก็หายโรค และเขาก็ยกแคร่ของเขาเดินไป วันนั้นเป็นวันสะบาโต 5:10 ดังนั้นพวกยิวจึงพูดกับชายที่หายโรคนั้นว่า " วันนี้เป็นวันสะบาโต ที่เจ้าแบกแคร่ไปนั้นก็ผิดธรรมบัญญัติ " 5:11 คนนั้นจึงตอบเขาเหล่านั้นว่า " ท่านที่รักษาข้าพเจ้าให้หายโรค ได้สั่งข้าพเจ้าว่า " จงยกแคร่ของเจ้าแบก เดินไปเถิด " 5:12 เขาเหล่านั้นถามคนนั้นว่า " คนที่สั่งเจ้าว่า " จงยกแคร่ของเจ้าแบก เดินไปเถิด " นั้นเป็นผู้ใด " 5:13 คนที่ได้รับการรักษาให้หายโรคนั้นไม่รู้ว่าเป็นผู้ใด เพราะพระเยซูเสด็จหลบไปแล้ว เนื่องจากขณะนั้นมีคนอยู่ที่นั่นเป็นอันมาก 5:14 ภายหลัง พระเยซูได้ทรงพบคนนั้นในบริเวณพระวิหารและตรัสกับเขาว่า " นี่แน่ะ เจ้าหายโรคแล้ว อย่าทำบาปอีก มิฉะนั้นเหตุร้ายกว่านั้นจะเกิดกับเจ้า " 5:15 ชายคนนั้นก็ได้ออกไปบอกพวกยิวว่า ท่านที่ได้รักษาเขาให้หายโรคนั้น คือพระเยซู 5:16 เหตุฉะนั้นพวกยิวจึงข่มเหงพระเยซู เพราะพระองค์ทรงกระทำเช่นนั้นในวันสะบาโต 5:17 แต่พระเยซูตรัสตอบเขาว่า " พระบิดาของเรายังทรงทำอยู่เรื่อยๆ และเราก็ทำด้วย " 5:18 เหตุฉะนั้นพวกยิวยิ่งแสวงโอกาสที่จะฆ่าพระองค์ มิใช่เพราะพระองค์ล่วงกฎวันสะบาโตเท่านั้น แต่ยังได้เรียกพระเจ้าว่าเป็นบิดาของตนด้วย ซึ่งเป็นการกระทำตนเสมอกับพระเจ้า 5:19 พระเยซูตรัสกับเขาว่า " เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า พระบุตรจะกระทำสิ่งใดตามใจไม่ได้ นอกจากที่ได้เห็นพระบิดาทรงกระทำ เพราะสิ่งใดที่พระบิดาทรงกระทำ สิ่งนั้นพระบุตรจึงทรงกระทำด้วย 5:20 เพราะว่าพระบิดาทรงรักพระบุตร และทรงสำแดงให้พระบุตรเห็นทุกสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำ และพระองค์จะทรงสำแดงให้พระบุตรเห็นการที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นอีก ซึ่งท่านทั้งหลายจะประหลาดใจ 5:21 เพราะพระบิดาทรงทำให้คนที่ตายแล้วฟื้นขึ้นมามีชีวิตฉันใด ถ้าพระบุตรปรารถนาจะกระทำให้ผู้ใดมีชีวิตก็จะกระทำเหมือนกันฉันนั้น 5:22 เพราะว่าพระบิดามิได้ทรงพิพากษาผู้ใด แต่พระองค์ได้ทรงมอบการพิพากษาทั้งสิ้นไว้กับพระบุตร 5:23 เพื่อคนทั้งปวงจะได้ถวายเกียรติแด่พระบุตร เหมือนที่เขาถวายเกียรติแด่พระบิดา ผู้ใดไม่ถวายเกียรติแด่พระบุตร ผู้นั้นก็ไม่ถวายเกียรติแด่พระบิดาผู้ทรงใช้พระบุตรมา 5:24 เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าผู้ใดฟังคำของเราและวางใจในพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา ผู้นั้นก็มีชีวิตนิรันดร์ และไม่ถูกพิพากษา แต่ได้ผ่านพ้นความตายไปสู่ชีวิตแล้ว 5:25 " เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า เวลาที่กำหนดนั้นใกล้จะถึงแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อผู้ที่ตายแล้วจะได้ยินพระสุรเสียงแห่งพระบุตรของพระเจ้า และบรรดาผู้ที่ได้ยินจะมีชีวิต 5:26 เพราะว่าพระบิดาทรงมีชีวิตในพระองค์เองฉันใด พระองค์ก็ได้ทรงประทานให้พระบุตรมีชีวิตในพระองค์ฉันนั้น 5:27 และได้ทรงประทานให้พระบุตรมีสิทธิอำนาจที่จะพิพากษา เพราะพระองค์ทรงเป็นบุตรมนุษย์ 5:28 อย่าประหลาดใจในข้อนี้เลย เพราะใกล้จะถึงเวลาที่บรรดาผู้ที่อยู่ในอุโมงค์ฝังศพ จะได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ 5:29 และจะได้ออกมา บรรดาผู้ที่ได้ประพฤติดีก็ฟื้นขึ้นสู่ชีวิต บรรดาผู้ที่ได้ประพฤติชั่ว ก็จะฟื้นขึ้นสู่การพิพากษา 5:30 " เราจะทำสิ่งใดตามอำเภอใจไม่ได้ เราได้ยินอย่างไรเราก็พิพากษาอย่างนั้น และการพิพากษาของเราก็ยุติธรรม เพราะเรามิได้มุ่งที่จะทำตามใจของเราเอง แต่ตามพระประสงค์ของพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา 5:31 ถ้าเราเป็นพยานให้แก่ตัวเราเอง คำพยานของเราก็ไม่จริง 5:32 มีอีกผู้หนึ่งที่เป็นพยานให้แก่เรา และเรารู้ว่าคำพยานที่พระองค์ทรงเป็นพยานให้แก่เรานั้นเป็นความจริง 5:33 ท่านทั้งหลายได้ใช้คนไปหายอห์น และยอห์นก็ได้เป็นพยานแก่ความจริง 5:34 มิใช่ว่าคำพยานซึ่งเราได้รับนั้นมาจากมนุษย์ แต่ที่เรากล่าวสิ่งเหล่านี้ก็เพื่อให้ท่านทั้งหลายรอด 5:35 ยอห์นเป็นโคมที่จุดสว่างไสว และท่านทั้งหลายก็พอใจที่จะชื่นชมยินดีชั่วขณะหนึ่งในความสว่างของยอห์นนั้น 5:36 แต่คำพยานที่เรามีนั้นยิ่งใหญ่กว่าคำพยานของยอห์น เพราะว่างานที่พระบิดาทรงมอบให้เราทำให้สำเร็จ งานนี้แหละที่เรากำลังทำอยู่ เป็นพยานให้แก่เราว่าพระบิดาทรงใช้เรามา 5:37 และพระบิดาผู้ทรงใช้เรามา พระองค์เองก็ได้ทรงเป็นพยานให้แก่เรา ท่านทั้งหลายไม่เคยได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ และไม่เคยเห็นรูปร่างของพระองค์ 5:38 และท่านทั้งหลายไม่มีพระดำรัสของพระองค์อยู่ในตัวท่าน เพราะว่าท่านทั้งหลายมิได้วางใจในพระองค์ผู้ที่พระบิดาทรงใช้มานั้น 5:39 ท่านทั้งหลายค้นดูในพระคัมภีร์ เพราะท่านคิดว่าในนั้นมีชีวิตนิรันดร์ และพระคัมภีร์นั้นเป็นพยานให้แก่เรา 5:40 แต่ท่านทั้งหลายไม่ยอมมาหาเราเพื่อจะได้ชีวิต 5:41 เราไม่คอยรับเกียรติจากมนุษย์ 5:42 แต่เรารู้ว่าท่านไม่มีความรักพระเจ้าในตัวท่าน 5:43 เราได้มาในพระนามพระบิดาของเรา และท่านทั้งหลายมิได้รับเรา ถ้าผู้อื่นมาในนามของเขาเอง ท่านทั้งหลายก็จะรับผู้นั้น 5:44 ผู้ที่ได้รับยศศักดิ์จากกันเอง และมิได้แสวงหายศศักดิ์ซึ่งมาจากพระองค์ผู้ทรงเป็นพระเจ้าแต่องค์เดียว ท่านจะเชื่อผู้นั้นได้อย่างไร 5:45 อย่าคิดว่าเราจะฟ้องท่านทั้งหลายต่อพระบิดา มีผู้ฟ้องท่านแล้ว คือ โมเสส ผู้ซึ่งท่านทั้งหลายหวังใจอยู่ 5:46 ถ้าท่านทั้งหลายเชื่อโมเสส ท่านทั้งหลายก็คงจะเชื่อเรา เพราะโมเสสได้เขียนกล่าวถึงเรา 5:47 แต่ถ้าท่านทั้งหลายไม่เชื่อเรื่องที่โมเสสเขียนแล้ว ท่านจะเชื่อถ้อยคำของเราอย่างไรได้ "
6:1 หลังจากนั้นพระเยซูก็เสด็จไปข้ามทะเลสาบกาลิลี คือทะเลทิเบเรียส 6:2 คนเป็นอันมากได้ตามพระองค์ไป เพราะเขาเหล่านั้นได้เห็นหมายสำคัญ ที่พระองค์ได้ทรงกระทำต่อบรรดาคนป่วย 6:3 พระเยซูเสด็จขึ้นไปบนภูเขา และประทับกับเหล่าสาวกของพระองค์ 6:4 ขณะนั้นใกล้จะถึงปัสกาซึ่งเป็นเทศกาลของพวกยิวแล้ว 6:5 พระเยซูทรงเงยพระพักตร์ทอดพระเนตรเห็นคนเป็นอันมากพากันมาหาพระองค์ พระองค์จึงตรัสกับฟีลิปว่า " ทำอย่างไรเราจึงจะซื้ออาหารให้คนเหล่านี้กินได้ " 6:6 พระองค์ตรัสอย่างนั้นเพื่อจะลองใจฟีลิป เพราะพระองค์ทรงทราบแล้วว่า พระองค์จะทรงกระทำประการใด 6:7 ฟีลิปทูลตอบพระองค์ว่า " สองร้อยเหรียญเดนาริอัน { หนึ่งเหรียญเดนาริอัน เป็นเงินค่าจ้างคนงานให้ทำงานวันหนึ่ง } ก็ไม่พอซื้ออาหารให้เขากินกันคนละเล็กละน้อย " 6:8 สาวกคนหนึ่งของพระองค์ คืออันดรูว์น้องชายของซีโมนเปโตรทูลพระองค์ว่า 6:9 " ที่นี่มีเด็กคนหนึ่งมีขนมบารลีห้าก้อนกับปลาสองตัว แต่เท่านั้นจะพออะไรกับคนมากอย่างนี้ " 6:10 พระเยซูตรัสว่า " ให้คนทั้งปวงนั่งลงเถิด " ที่นั่นมีหญ้ามาก คนเหล่านั้นจึงนั่งลง นับแต่ผู้ชายได้ประมาณห้าพันคน 6:11 แล้วพระเยซูก็ทรงหยิบขนมปังนั้น เมื่อโมทนาพระคุณแล้ว ก็ทรงแจกแก่บรรดาคนที่นั่งอยู่นั้น และให้ปลาด้วยตามที่เขาปรารถนา 6:12 เมื่อเขาทั้งหลายกินอิ่มแล้วพระเยซูตรัสกับเหล่าสาวกของพระองค์ว่า " จงเก็บเศษอาหารที่เหลือไว้ อย่าให้มีสิ่งใดตกหล่น " 6:13 เขาจึงเก็บเศษขนมบารลีห้าก้อนซึ่งเหลือจากที่คนทั้งหลายได้กินแล้วนั้นใส่กระบุงได้สิบสองกระบุงเต็ม 6:14 เมื่อคนทั้งหลายได้เห็นหมายสำคัญซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำ เขาก็พูดกันว่า " แท้จริงท่านผู้นี้ เป็นผู้เผยพระวจนะนั้นที่ทรงกำหนดให้มาในโลก " 6:15 เมื่อพระเยซู ทรงทราบว่าเขาทั้งหลายจะมาจับพระองค์ไปตั้งให้เป็นกษัตริย์ พระองค์ก็เสด็จไปที่ภูเขาอีกแต่ลำพัง 6:16 พอค่ำลงเหล่าสาวกของพระองค์ก็ได้ไปที่ทะเลสาบ 6:17 แล้วลงเรือข้ามฟากไปยังคาเปอรนาอุม มืดแล้ว แต่พระเยซูก็ยังมิได้เสด็จไปถึงเขา 6:18 ทะเลก็กำเริบขึ้นเพราะลมพัดกล้า 6:19 เมื่อเขาทั้งหลายตีกรรเชียงไปได้ประมาณห้าหกกิโลเมตร เขาก็เห็นพระเยซูเสด็จดำเนินมาบนทะเลใกล้เรือ เขาต่างก็ตกใจกลัว 6:20 แต่พระองค์ตรัสแก่เขาว่า " นี่เราเองแหละ อย่ากลัวเลย " 6:21 ดังนั้นเขาจึงรับพระองค์ขึ้นเรือด้วยความยินดี แล้วทันใดนั้นเรือก็ถึงฝั่งที่เขาจะไปนั้น 6:22 วันรุ่งขึ้นคนที่เหลืออยู่ฝั่งข้างโน้นเห็นว่า ก่อนนั้นมีเรืออยู่ที่นั่นเพียงลำเดียว และเห็นว่าพระเยซูมิได้เสด็จลงเรือลำนั้นไปกับเหล่าสาวก เหล่าสาวกของพระองค์ไปตามลำพังเท่านั้น 6:23 แต่ก็มีเรือลำอื่นมาจากทิเบเรียสผ่านมา ใกล้ตำบลที่เขาได้กินขนมปังหลังจากที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงขอบพระคุณแล้ว 6:24 เหตุฉะนั้นเมื่อประชาชนเห็นว่า พระเยซูและเหล่าสาวกไม่ได้อยู่ที่นั่น เขาจึงลงเรือไปตามหาพระเยซูที่เมืองคาเปอรนาอุม 6:25 ครั้นเขาได้พบพระองค์ที่ฝั่งทะเลสาบข้างโน้นแล้ว เขาทั้งหลายทูลพระองค์ว่า " พระอาจารย์เจ้าข้า ท่านมาที่นี่เมื่อไร " 6:26 พระเยซูตรัสกับเขาว่า " เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านทั้งหลายตามหาเรามิใช่เพราะได้เห็นหมายสำคัญ แต่เพราะได้กินขนมปังอิ่ม 6:27 อย่าขวนขวายหาอาหารที่เสื่อมสิ้นไป แต่จงหาอาหารที่ดำรงอยู่คืออาหารแห่งชีวิตนิรันดร์ ซึ่งบุตรมนุษย์จะให้แก่ท่าน เพราะพระเจ้าคือพระบิดาได้ทรงประทับตรามอบอำนาจแก่พระบุตรแล้ว " 6:28 แล้วเขาทั้งหลายก็ทูลพระองค์ว่า " ข้าพเจ้าทั้งหลายจะต้องทำประการใด จึงจะทำงานของพระเจ้าได้ " 6:29 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า " งานของพระเจ้านั้น คือการที่ท่านวางใจในท่านที่พระองค์ทรงใช้มา " 6:30 เขาทั้งหลายจึงทูลพระองค์ว่า " ถ้าเช่นนั้นท่านจะกระทำหมายสำคัญอะไร เพื่อข้าพเจ้าทั้งหลายจะเห็นและวางใจในท่าน ท่านจะกระทำอะไรบ้าง 6:31 บรรพบุรุษของข้าพเจ้าทั้งหลายได้กินมานา { อาหารที่พระเจ้าประทานให้ ดูอพยพ :} ในถิ่นทุรกันดาร ตามที่มีคำเขียนไว้ว่า " ท่านได้ให้ { ตามภาษาเดิม ข้อความนี้มีว่า " ท่านได้ให้ " ( ซึ่งหมายถึงโมเสสให้ ) หรือ " พระองค์ได้ประทานให้ " ( คือหมายถึงพระเจ้าประทานให้ )} เขากินอาหารจากสวรรค์ 6:32 พระเยซูก็ตรัสกับเขาว่า " เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า มิใช่โมเสสที่ให้อาหารจากสวรรค์นั้นแก่ท่าน แต่พระบิดาของเราประทานอาหารแท้ซึ่งมาจากสวรรค์ ให้แก่ท่านทั้งหลาย 6:33 เพราะว่าอาหารของพระเจ้านั้น คือท่านที่ลงมาจากสวรรค์ และประทานชีวิตให้แก่โลก " 6:34 เขาทั้งหลายจึงทูลพระองค์ว่า " ท่านเจ้าข้า โปรดให้อาหารนั้นแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายเสมอไปเถิด " 6:35 พระเยซูตรัสกับเขาว่า " เราเป็นอาหารแห่งชีวิต ผู้ที่มาหาเราจะไม่หิว และผู้ที่วางใจในเรา จะไม่กระหายอีกเลย 6:36 แต่เราได้บอกท่านทั้งหลายแล้วว่า ท่านได้เห็นเราแล้วแต่ก็ไม่เชื่อ 6:37 สารพัดที่พระบิดาทรงประทานแก่เรา จะมาสู่เรา และผู้ที่มาหาเรา เราก็จะไม่ทิ้งเขาเลย 6:38 เพราะว่าเราได้ลงมาจากสวรรค์ มิใช่เพื่อกระทำตามความประสงค์ของเราเอง แต่เพื่อกระทำตามพระประสงค์ของพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา 6:39 และพระประสงค์ของพระบิดาผู้ทรงใช้เรามานั้น ก็คือให้เรารักษาบรรดาผู้ที่พระองค์ได้ทรงมอบไว้กับเรา มิให้หายไปสักคนเดียว แต่ให้ฟื้นขึ้นมาในวันที่สุด 6:40 เพราะนี่แหละเป็นพระประสงค์ของพระบิดาของเรา ที่จะให้ทุกคนที่เห็นพระบุตร และวางใจในพระบุตรได้มีชีวิตนิรันดร์ และเราจะให้ผู้นั้นฟื้นขึ้นมาในวันสุดท้าย " 6:41 พวกยิวจึงซุบซิบกันเรื่องพระองค์ เพราะพระองค์ตรัสว่า " เราเป็นอาหารซึ่งลงมาจากสวรรค์ " 6:42 เขาทั้งหลายว่า " คนนี้เป็นเยซูลูกของโยเซฟมิใช่หรือ พ่อแม่ของเขาเราก็รู้จัก เหตุใดคนนี้จึงพูดว่า " เราได้ลงมาจากสวรรค์ " 6:43 พระเยซูตรัสตอบเขาเหล่านั้นว่า " อย่าซุบซิบกันเลย 6:44 ไม่มีผู้ใดมาถึงเราได้นอกจากพระบิดาผู้ทรงใช้เรามา จะทรงชักนำให้เขามาและเราจะให้ผู้นั้นฟื้นขึ้นมาในวันสุดท้าย 6:45 มีคำเขียนไว้ในคัมภีร์ผู้เผยพระวจนะว่า " พระเจ้าจะทรงสั่งสอนเขาทุกคน ทุกคนที่ได้ยินได้ฟัง และได้เรียนรู้จากพระบิดาก็มาถึงเรา 6:46 ไม่มีผู้ใดได้เห็นพระบิดา นอกจากท่านที่มาจากพระเจ้าท่านนั้นแหละได้เห็นพระบิดาแล้ว 6:47 เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ที่วางใจในเราก็มีชีวิตนิรันดร์ 6:48 เราเป็นอาหารแห่งชีวิต 6:49 บรรพบุรุษของท่านทั้งหลาย ได้กินมานาในถิ่นทุรกันดารและสิ้นชีวิต 6:50 แต่นี่เป็นอาหารที่ลงมาจากสวรรค์ เพื่อให้ผู้ที่ได้บริโภคแล้วไม่ตาย 6:51 เราเป็นอาหารที่ธำรงชีวิต ซึ่งลงมาจากสวรรค์ ถ้าผู้ใดบริโภคอาหารนี้ ผู้นั้นจะมีชีวิตนิรันดร์ และอาหารที่เราจะให้เพื่อเห็นแก่ชีวิตของโลกนั้น ก็คือเลือดเนื้อของเรา " 6:52 แล้วพวกยิวก็ทุ่มเถียงกันว่า " ผู้นี้จะเอาเนื้อของเขาให้เรากินได้อย่างไร " 6:53 พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า " เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าท่านไม่กินเนื้อ และไม่ดื่มโลหิตของบุตรมนุษย์ ท่านก็ไม่มีชีวิตในตัวท่าน 6:54 ผู้ที่กินเนื้อและดื่มโลหิตของเรา ก็มีชีวิตนิรันดร์ และเราจะให้ผู้นั้นฟื้นขึ้นมาในวันสุดท้าย 6:55 เพราะว่าเนื้อของเราเป็นอาหารแท้ และโลหิตของเราก็เป็นของดื่มแท้ 6:56 ผู้ที่กินเนื้อและดื่มโลหิตของเรา ผู้นั้นก็อยู่กับเราและเราอยู่กับเขา 6:57 พระบิดาผู้ทรงดำรงพระชนม์ได้ทรงใช้เรามา และเรามีชีวิตเพราะพระบิดานั้นฉันใด ผู้ที่กินเราผู้นั้นก็จะมีชีวิตเพราะเราฉันนั้น 6:58 นี่แหละเป็นอาหารซึ่งลงมาจากสวรรค์ ไม่เหมือนกับอาหารที่พวกบรรพบุรุษได้กินและสิ้นชีวิต ผู้ที่กินอาหารนี้จะมีชีวิตนิรันดร์ " 6:59 คำเหล่านี้พระองค์ได้ตรัสในธรรมศาลา ขณะที่พระองค์ทรงสั่งสอนอยู่ที่เมืองคาเปอรนาอุม 6:60 เมื่อเหล่าสาวกของพระองค์หลายคนได้ฟังเช่นนั้นก็พูดว่า " ถ้อยคำเหล่านี้ยากนัก ใครจะฟังได้ " 6:61 แต่พระเยซูทรงตระหนักว่า เหล่าสาวกของพระองค์ซุบซิบกันถึงเรื่องนั้น จึงตรัสกับเขาว่า " เรื่องนี้ทำให้ท่านทั้งหลายลำบากใจหรือ 6:62 ถ้าท่านจะได้เห็นบุตรมนุษย์เสด็จขึ้นไปยังที่ที่ท่านอยู่แต่ก่อนนั้น ท่านจะว่าอย่างไร 6:63 จิตวิญญาณเป็นที่ให้มีชีวิต ส่วนเนื้อหนังไม่มีประโยชน์อันใด ถ้อยคำซึ่งเราได้กล่าวกับท่านทั้งหลายนั้น เป็นจิตวิญญาณและเป็นชีวิต 6:64 แต่ในพวกท่านมีบางคนที่ไม่เชื่อ " เพราะพระเยซูทรงทราบแต่แรกว่าผู้ใดไม่เชื่อพระองค์ และเป็นผู้ใดที่จะอายัดพระองค์ไว้ 6:65 และพระองค์ตรัสว่า " เหตุฉะนั้นเราจึงได้บอกท่านทั้งหลายว่า " ไม่มีผู้ใดจะมาถึงเราได้ นอกจากพระบิดาจะทรงโปรดผู้นั้น " 6:66 ตั้งแต่นั้นมาสาวกของพระองค์หลายคนก็ท้อถอย ไม่ติดตามพระองค์ต่อไปอีก 6:67 พระเยซูตรัสกับสิบสองคนนั้นว่า " ท่านทั้งหลายก็จะจากเราไปด้วยหรือ " 6:68 ซีโมนเปโตรทูลตอบพระองค์ว่า " พระองค์เจ้าข้า พวกข้าพระองค์จะจากไปหาผู้ใดเล่า พระองค์มีถ้อยคำซึ่งให้มีชีวิตนิรันดร์ 6:69 และข้าพระองค์ทั้งหลายก็เชื่อ และมาทราบแล้วว่า พระองค์ทรงเป็นองค์วิสุทธิ์ของพระเจ้า " 6:70 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า " เราเลือกพวกท่านสิบสองคนมิใช่หรือ และคนหนึ่งในพวกท่านเป็นมารร้าย " 6:71 พระองค์ทรงหมายถึงยูดาสบุตรของซีโมน อิสคาริโอท เพราะว่าเขาเป็นผู้ที่จะอายัดพระองค์ไว้ คือคนหนึ่งในสาวกสิบสองคน
7:1 หลังจากนั้นพระเยซูก็ได้เสด็จไปตามที่ต่างๆในแคว้นกาลิลี ไม่ประสงค์ที่จะเสด็จไปในแคว้นยูเดียเพราะพวกยิวหาโอกาสที่จะฆ่าพระองค์ 7:2 ขณะนั้นใกล้จะถึงเทศกาลอยู่เพิงของพวกยิวแล้ว 7:3 พวกน้องๆของพระองค์จึงทูลพระองค์ว่า " ท่านจงออกจากที่นี่ไปยังแคว้นยูเดีย เพื่อให้เหล่าสาวกของท่านได้เห็นกิจการที่ท่านกำลังกระทำอยู่ 7:4 เพราะว่าไม่มีผู้ใดแอบทำสิ่งใดเงียบๆเมื่อผู้นั้นอยากให้ตัวปรากฏ ถ้าท่านกระทำการเหล่านี้ ก็จงสำแดงตัวให้ปรากฏแก่โลกเถิด " 7:5 แม้พวกน้องๆของพระองค์ก็มิได้วางใจในพระองค์ 7:6 พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า " ยังไม่ถึงเวลาของเรา แต่เวลาของพวกท่านมีอยู่เสมอ 7:7 โลกจะเกลียดชังพวกท่านไม่ได้ แต่โลกเกลียดชังเรา เพราะเราเป็นพยานว่าการงานของโลกนั้นชั่วร้าย 7:8 พวกท่านจงขึ้นไปในเทศกาลเถิด เราจะยังไม่ขึ้นไปในเทศกาลนั้น เพราะว่ายังไม่ถึงกำหนดเวลาของเรา " 7:9 เมื่อตรัสเช่นนั้นแล้ว พระองค์ก็ยังคงประทับอยู่ในแคว้นกาลิลีต่อไป 7:10 แต่เมื่อพวกน้องๆของพระองค์ขึ้นไปในงานเทศกาลนั้นแล้ว พระองค์ก็เสด็จตามขึ้นไปด้วย แต่ไปอย่างเงียบๆไม่เปิดเผย 7:11 พวกยิวมองหาพระองค์ในงานเทศกาลนั้นและถามว่า " คนนั้นอยู่ที่ไหน " 7:12 และประชาชนก็ซุบซิบกันถึงพระองค์เป็นอันมาก บางคนพูดว่า " เขาเป็นคนดี " บางคนว่า " ไม่ใช่ เขาทำให้ประชาชนหลงผิดไป " 7:13 แต่ไม่มีผู้ใดกล้าพูดถึงพระองค์อย่างเปิดเผยเพราะกลัวพวกยิว 7:14 ครั้นถึงวันกลางเทศกาลนั้น พระเยซูได้เสด็จเข้าไปในบริเวณพระวิหารและทรงสั่งสอน 7:15 พวกยิวพากันประหลาดใจและพูดว่า " คนนี้จะรู้พระธรรมได้อย่างไร ในเมื่อไม่เคยเรียนเลย " 7:16 พระเยซูจึงตรัสตอบเขาว่า " คำสอนของเราไม่ใช่ของเราเอง แต่เป็นของพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา 7:17 ถ้าผู้ใดตั้งใจประพฤติตามพระประสงค์ของพระองค์ ผู้นั้นก็จะรู้ว่าคำสอนนั้นมาจากพระเจ้า หรือว่าเราพูดตามใจชอบของเราเอง 7:18 ผู้ใดที่พูดตามใจชอบของตนเอง ผู้นั้นย่อมแสวงเกียรติสำหรับตนเอง แต่ผู้ที่แสวงเกียรติให้พระองค์ผู้ทรงใช้ตนมา ผู้นั้นแหละเป็นคนจริงไม่มีอธรรมเลย 7:19 โมเสสได้ให้ธรรมบัญญัติแก่ท่านทั้งหลายมิใช่หรือ แต่ไม่มีผู้ใดในพวกท่านประพฤติตามธรรมบัญญัตินั้น ท่านทั้งหลายหาโอกาสที่จะฆ่าเราทำไม " 7:20 คนเหล่านั้นตอบว่า " ท่านมีผีสิงอยู่ ใครเล่าที่หาโอกาสจะฆ่าท่าน " 7:21 พระเยซูตรัสตอบว่า " เราได้ทำสิ่งหนึ่ง และท่านทั้งหลายประหลาดใจในสิ่งนั้น 7:22 โมเสสได้ให้ท่านทั้งหลายเข้าสุหนัต { พิธีตัดหนังปลายองคชาติ เป็นพิธีรับผู้ชายเข้าศาสนายิว } ( มิใช่ได้มาจากโมเสส แต่มาจากบรรพบุรุษ ) และในวันสะบาโตท่านทั้งหลายก็ยังให้คนเข้าสุหนัต 7:23 ถ้าในวันสะบาโตคนเข้าสุหนัต เพื่อมิให้ล่วงละเมิดธรรมบัญญัติของโมเสสแล้ว ท่านทั้งหลายจะโกรธเรา เพราะเราทำให้ชายผู้หนึ่งหายโรคเป็นปกติในวันสะบาโตหรือ 7:24 อย่าตัดสินตามที่เห็นภายนอก แต่จงตัดสินอย่างยุติธรรมเถิด " 7:25 เพราะฉะนั้นชาวกรุงเยรูซาเล็มบางคนจึงพูดว่า " คนนี้มิใช่หรือที่เขาหาโอกาสจะฆ่าเสีย 7:26 นี่อย่างไรล่ะ ท่านกำลังพูดอยู่อย่างเปิดเผย และเขาทั้งหลายก็ไม่ได้ว่าอะไรท่านเลย พวกเจ้าหน้าที่รู้แน่แล้วหรือว่า คนนี้เป็นพระคริสต์ 7:27 แต่เรารู้ว่าคนนี้มาจากไหน เมื่อพระคริสต์เสด็จมานั้น จะไม่มีผู้ใดรู้เลยว่าพระองค์มาจากไหน " 7:28 ดังนั้นพระเยซูจึงทรงประกาศ ขณะที่ทรงสั่งสอนอยู่ในบริเวณพระวิหารว่า " ท่านทั้งหลายรู้จักเรา และรู้ว่าเรามาจากไหน แต่เรามิได้มาตามลำพังเราเอง พระองค์ผู้ทรงใช้เรามานั้นทรงสัตย์จริง แต่ท่านทั้งหลายไม่รู้จักพระองค์ 7:29 เรารู้จักพระองค์ เพราะเรามาจากพระองค์และพระองค์ได้ทรงใช้เรามา " 7:30 เขาทั้งหลายจึงหาโอกาสที่จะจับพระองค์ แต่ไม่มีผู้ใดยื่นมือแตะต้องพระองค์ เพราะยังไม่ถึงกำหนดเวลาของพระองค์ 7:31 แต่มีหลายคนในหมู่ประชาชนนั้นได้วางใจในพระองค์ และพูดว่า " เมื่อพระคริสต์เสด็จมานั้น พระองค์จะทรงกระทำหมายสำคัญมากยิ่งกว่าที่ผู้นี้ได้กระทำหรือ " 7:32 เมื่อพวกฟาริสีได้ยินประชาชนซุบซิบกันเรื่องพระองค์อย่างนั้น พวกมหาปุโรหิตและพวกฟาริสีจึงใช้เจ้าหน้าที่ไปจับพระองค์ 7:33 พระเยซูตรัสว่า " เราจะอยู่กับท่านทั้งหลายต่อไปอีกหน่อย แล้วจะกลับไปหาพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา 7:34 ท่านทั้งหลายจะแสวงหาเราแต่จะไม่พบเรา และที่ซึ่งเราอยู่นั้นท่านจะเข้าไปไม่ได้ " 7:35 พวกยิวจึงพูดกันว่า " คนนี้จะไปไหน ที่เราจะหาเขาไม่พบ เขาตั้งใจจะไปหาคนที่กระจัดกระจายไปอยู่ในหมู่พวกต่างชาติ และสั่งสอนพวกต่างชาติหรือ 7:36 เขาหมายความว่าอย่างไรที่พูดว่า " ท่านทั้งหลายจะแสวงหาเราแต่จะไม่พบเรา " และ " ที่ซึ่งเราอยู่นั้นท่านจะเข้าไปไม่ได้ " 7:37 ในวันสุดท้ายของงานเทศกาลซึ่งเป็นวันใหญ่นั้น พระเยซูทรงยืนและประกาศว่า " ถ้าผู้ใดกระหาย ผู้นั้นจงมาหาเราและดื่ม 7:38 ผู้ที่วางใจในเราตามที่มีคำเขียนไว้แล้วว่า " แม่น้ำที่มีน้ำธำรงชีวิต จะไหลออกมาจากภายในผู้นั้น "" 7:39 สิ่งที่พระเยซูตรัสนั้นหมายถึงพระวิญญาณ ซึ่งผู้ที่วางใจในพระองค์จะได้รับ เหตุว่ายังไม่ได้ประทานพระวิญญาณให้ เพราะพระเยซูยังมิได้ประสบเกียรติกิจ 7:40 เมื่อประชาชนได้ฟังดังนั้น บางคนก็พูดว่า " ท่านผู้นี้เป็นผู้เผยพระวจนะนั้นแน่ " 7:41 คนอื่นๆก็พูดว่า " ท่านผู้นี้เป็นพระคริสต์ " แต่บางคนพูดว่า " พระคริสต์จะมาจากกาลิลีหรือ 7:42 พระคัมภีร์กล่าวไว้มิใช่หรือ ว่าพระคริสต์จะมาจากเชื้อพระวงศ์ของดาวิด และมาจากหมู่บ้านเบธเลเฮมชนบทซึ่งดาวิดเคยอยู่นั้น " 7:43 เหตุฉะนั้นประชาชนจึงมีความเห็นแตกแยกกันในเรื่องพระองค์ 7:44 บางคนใคร่จะจับพระองค์ แต่ไม่มีผู้ใดยื่นมือแตะต้องพระองค์เลย 7:45 เจ้าหน้าที่จึงกลับไปหาพวกมหาปุโรหิตและพวกฟาริสี และพวกนั้นกล่าวกับเจ้าหน้าที่ว่า " ทำไมเจ้าจึงไม่จับเขามา " 7:46 เจ้าหน้าที่ตอบว่า " ไม่เคยมีผู้ใดพูดเหมือนคนนั้นเลย " 7:47 พวกฟาริสีตอบเขาว่า " พวกเจ้าถูกชักจูงให้หลงไปด้วยแล้วหรือ 7:48 มีผู้ใดในหมู่เจ้าหน้าที่หรือพวกฟาริสีศรัทธาในผู้นั้นหรือ 7:49 แต่ประชาชนหมู่นี้ที่ไม่รู้ธรรมบัญญัติ ก็ต้องถูกสาปแช่งอยู่แล้ว " 7:50 นิโคเดมัสผู้ที่ได้มาหาพระองค์คราวก่อนนั้น และเป็นคนหนึ่งในพวกเขา ได้กล่าวแก่พวกเขาว่า 7:51 " กฎหมายของเราตัดสินคนใดโดยที่ยังไม่ได้ฟังเขาก่อน และรู้ว่าเขาได้ทำอะไรบ้างหรือ " 7:52 เขาทั้งหลายตอบนิโคเดมัสว่า " ท่านมาจากกาลิลีด้วยหรือ จงค้นหาดูเถิด แล้วท่านจะเห็นว่าไม่มีผู้เผยพระวจนะเกิดขึ้นมาจากกาลิลี " 7:53 [ ต่างคนต่างกลับไปบ้านของตน
8:1 แต่พระเยซูเสด็จไปยังภูเขามะกอกเทศ 8:2 ในตอนเช้าตรู่พระองค์เสด็จเข้าในบริเวณพระวิหารอีก คนทั้งหลายพากันมาหาพระองค์ พระองค์ก็ประทับนั่งและเริ่มสั่งสอนเขา 8:3 พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี ได้พาผู้หญิงคนหนึ่งมา หญิงผู้นี้ถูกจับฐานล่วงประเวณี และเขาให้หญิงผู้นี้ยืนอยู่หน้าฝูงชน 8:4 เขาทูลพระองค์ว่า " พระอาจารย์เจ้าข้า หญิงคนนี้ถูกจับเมื่อกำลังล่วงประเวณีอยู่ 8:5 ในธรรมบัญญัตินั้นโมเสสสั่งให้เราเอาหินขว้างคนเช่นนี้ให้ตาย ส่วนท่านจะว่าอย่างไรในเรื่องนี้ " 8:6 เขาพูดอย่างนี้ เพื่อทดลองพระองค์หวังจะหาเหตุฟ้องพระองค์ แต่พระเยซูทรงน้อมพระกายลงเอานิ้วพระหัตถ์เขียนที่ดิน 8:7 และเมื่อพวกเขายังทูลถามอยู่เรื่อยๆ พระองค์ก็ทรงลุกขึ้นตรัสตอบเขาว่า " ผู้ใดในพวกท่านที่ไม่มีผิด ก็ให้ผู้นั้นเอาหินขว้างเขาก่อน " 8:8 แล้วพระองค์ก็ทรงน้อมพระกายลงเอานิ้วพระหัตถ์เขียนที่ดินอีก 8:9 แต่เมื่อเขาทั้งหลายได้ยินดังนั้น เขาทั้งหลายจึงออกไปทีละคนๆ เริ่มจากคนเฒ่าคนแก่ เหลือแต่พระเยซูตามลำพัง กับหญิงคนนั้นที่อยู่ต่อพระพักตร์พระองค์ 8:10 พระเยซูทรงเงยพระพักตร์ขึ้นตรัสกับนางว่า " หญิงเอ๋ย พวกเขาไปไหนหมด ไม่มีใครเอาโทษเจ้าหรือ " 8:11 นางนั้นทูลว่า " พระองค์เจ้าข้า ไม่มีผู้ใดเลย " และพระเยซูตรัสว่า " เราก็ไม่เอาโทษเจ้าเหมือนกัน จงไปเถิดและอย่าทำผิดอีก "] สำเนาต้นฉบับหลายฉบับ ไม่มีข้อความใน :-: 8:12 อีกครั้งหนึ่งพระเยซูตรัสกับเขาทั้งหลายว่า " เราเป็นความสว่างของโลก ผู้ที่ตามเรามาจะไม่เดินในความมืด แต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต " 8:13 พวกฟาริสีจึงกล่าวกับพระองค์ว่า " ท่านเป็นพยานให้แก่ตัวเอง คำพยานของท่านไม่เป็นความจริง " 8:14 พระเยซูตรัสตอบว่า " แม้เราเป็นพยานให้แก่ตัวเราเอง คำพยานของเราก็เป็นความจริง เพราะเรารู้ว่าเรามาจากไหนและจะไปที่ไหน แต่พวกท่านไม่รู้ว่าเรามาจากไหนและจะไปที่ไหน 8:15 ท่านทั้งหลายย่อมพิพากษาตามทางโลก เรามิได้พิพากษาผู้ใด 8:16 แต่ถึงแม้ว่าเราจะพิพากษา การพิพากษาของเราก็ถูกต้อง เพราะเรามิได้พิพากษาโดยลำพัง แต่เราพิพากษาร่วมกับพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา 8:17 ในธรรมบัญญัติของท่านก็มีคำเขียนไว้ว่า คำพยานของสองคนก็เป็นที่เชื่อถือได้ 8:18 เราเป็นพยานให้แก่ตัวเราเอง และพระบิดาผู้ทรงใช้เรามาก็เป็นพยานให้แก่เราด้วย " 8:19 เหตุฉะนั้นเขาจึงทูลพระองค์ว่า " พระบิดาของท่านอยู่ที่ไหน " พระเยซูตรัสตอบว่า " ตัวเราก็ดี พระบิดาของเราก็ดี ท่านทั้งหลายไม่รู้จัก ถ้าท่านรู้จักเรา ท่านก็จะรู้จักพระบิดาของเราด้วย " 8:20 พระเยซูตรัสคำเหล่านี้ที่คลังเงิน เมื่อกำลังสั่งสอนอยู่ในบริเวณพระวิหาร แต่ไม่มีผู้ใดจับกุมพระองค์ เพราะว่ายังไม่ถึงกำหนดเวลาของพระองค์ 8:21 พระองค์ตรัสกับเขาอีกว่า " เราจะจากไป และท่านทั้งหลายจะแสวงหาเรา และจะตายเพราะบาปของท่าน ที่ซึ่งเราจะไปนั้นท่านทั้งหลายจะไปไม่ได้ " 8:22 พวกยิวจึงพูดกันว่า " เขาจะฆ่าตัวตายหรือ เพราะเขาพูดว่า " ที่ซึ่งเราจะไปนั้นท่านทั้งหลายจะไปไม่ได้ " 8:23 พระองค์ตรัสกับเขาว่า " ท่านทั้งหลายเป็นของเบื้องล่าง เราเป็นของเบื้องบน ท่านเป็นของโลกนี้ เราไม่ได้เป็นของโลกนี้ 8:24 เราบอกท่านทั้งหลายว่า ท่านจะตายเพราะบาปของท่าน เพราะว่าถ้าท่านมิได้เชื่อว่าเราเป็นผู้นั้น ท่านจะต้องตายในการบาปของตัว " 8:25 เขาถามพระองค์ว่า " ท่านคือใครเล่า " พระเยซูตรัสกับเขาว่า " เราเป็นดังที่เราได้บอกท่านทั้งหลายแต่แรกนั้น 8:26 เราก็ยังมีเรื่องอีกมากที่จะพูดและพิพากษาท่าน แต่พระองค์ผู้ทรงใช้เรามานั้นทรงเป็นสัตย์จริง และสิ่งที่เราได้ยินจากพระองค์ เรากล่าวแก่โลก " 8:27 เขาทั้งหลายไม่ทราบว่าพระองค์ตรัสกับเขาถึงเรื่องพระบิดา 8:28 พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า " เมื่อท่านทั้งหลายจะได้ยกบุตรมนุษย์ขึ้นไว้แล้ว เมื่อนั้นท่านก็จะรู้ว่าเราคือผู้นั้น และรู้ว่าเรามิได้ทำสิ่งใดตามใจชอบ แต่พระบิดาได้ทรงสอนเราอย่างไร เราจึงกล่าวอย่างนั้น 8:29 และพระองค์ผู้ทรงใช้เรามาก็ทรงสถิตอยู่กับเรา พระองค์มิได้ทรงทิ้งเราไว้ตามลำพัง เพราะว่าเราทำตามชอบพระทัยพระองค์เสมอ " 8:30 เมื่อพระเยซูตรัสดังนี้ ก็มีคนเป็นอันมากวางใจในพระองค์ 8:31 พระเยซูจึงตรัสกับพวกยิวที่ศรัทธาในพระองค์แล้วว่า " ถ้าท่านทั้งหลายดำรงอยู่ในคำของเรา ท่านก็เป็นสาวกของเราอย่างแท้จริง 8:32 และท่านทั้งหลายจะรู้จักสัจจะ และสัจจะจะทำให้ท่านทั้งหลายเป็นไท " 8:33 เขาทั้งหลายทูลตอบพระองค์ว่า " เราสืบเชื้อสายมาจากอับราฮัม และไม่เคยเป็นทาสใครเลย เหตุไฉนท่านจึงกล่าวว่า " ท่านทั้งหลายจะเป็นไท " 8:34 พระเยซูตรัสตอบเขาทั้งหลายว่า " เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ทุกคนที่ทำบาปก็เป็นทาสของบาป 8:35 ทาสมิได้อยู่ในครัวเรือนตลอดไป บุตรต่างหากอยู่ตลอดไป 8:36 เหตุฉะนั้นถ้าพระบุตรทรงกระทำให้ท่านทั้งหลายเป็นไท ท่านก็เป็นไทจริงๆ 8:37 เรารู้ว่าท่านทั้งหลายเป็นเชื้อสายของอับราฮัม แต่ท่านก็หาโอกาสที่จะฆ่าเราเสีย เพราะว่าท่านไม่เชื่อคำของเรา 8:38 เราพูดถึงสิ่งที่เราได้เห็น เมื่ออยู่กับพระบิดาของเรา และท่านทำสิ่งที่ท่านได้ยินมาจากพ่อของท่าน " 8:39 เขาทั้งหลายทูลพระองค์ว่า " อับราฮัมเป็นบิดาของเรา " พระเยซูตรัสกับเขาทั้งหลายว่า " ถ้าท่านทั้งหลายเป็นบุตรของอับราฮัมแล้ว ท่านก็จะทำสิ่งที่อับราฮัมได้กระทำ 8:40 แต่บัดนี้ท่านทั้งหลายหาโอกาส ที่จะฆ่าเรา ซึ่งเป็นผู้ที่ได้บอกท่าน ถึงสัจจะที่เราได้ยินมาจากพระเจ้า อับราฮัมมิได้กระทำอย่างนี้ 8:41 ท่านทั้งหลายย่อมกระทำสิ่งที่บิดาของท่านทำ " เขาทูลพระองค์ว่า " เรามิได้เกิดจากการล่วงประเวณี เรามีพระบิดาองค์เดียวคือพระเจ้า " 8:42 พระเยซูตรัสกับเขาว่า " ถ้าพระเจ้าเป็นพระบิดาของท่านแล้วท่านก็จะรักเรา เพราะเรามาจากพระเจ้า และอยู่นี่แล้ว เรามิได้มาตามใจชอบของเราเอง แต่พระองค์ทรงใช้เรามา 8:43 เหตุไฉนท่านจึงไม่เข้าใจถ้อยคำที่เราพูด นั่นเป็นเพราะท่านทนฟังคำของเราไม่ได้ 8:44 ท่านทั้งหลายมาจากพ่อของท่านคือมาร และท่านใคร่จะทำตามความปรารถนาของพ่อท่าน มันเป็นผู้ฆ่าคนตั้งแต่ปฐมกาล และมิได้ตั้งอยู่ในสัจจะ เพราะมันไม่มีสัจจะ เมื่อมันพูดเท็จมันก็พูดตามสันดานของมันเอง เพราะมันเป็นผู้มุสา และเป็นพ่อของการมุสา 8:45 แต่ท่านทั้งหลายมิได้เชื่อเรา เพราะเราพูดความจริง 8:46 มีผู้ใดในพวกท่านหรือที่ชี้ให้เห็นว่าเราได้ทำผิด ถ้าเราพูดความจริง ทำไมท่านจึงไม่เชื่อเรา 8:47 ผู้ที่มาจากพระเจ้าก็ย่อมฟังพระวจนะของพระเจ้า ท่านทั้งหลายมิได้มาจากพระเจ้า เหตุฉะนั้นท่านจึงไม่ฟัง " 8:48 พวกยิวทูลตอบพระองค์ว่า " ที่เราพูดว่า ท่านเป็นชาวสะมาเรียและมีผีสิงนั้นไม่จริงหรือ " 8:49 พระเยซูตรัสตอบว่า " เราไม่มีผีสิง แต่เราถวายพระเกียรติแด่พระบิดาของเรา และท่านลบหลู่เกียรติเรา 8:50 เรามิได้แสวงหาเกียรติของเราเอง แต่มีผู้หาให้ และพระองค์นั้นจะทรงพิพากษา 8:51 เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าผู้ใดประพฤติตามคำของเรา ผู้นั้นจะไม่ประสบความตายเลย " 8:52 พวกยิวทูลพระองค์ว่า " เดี๋ยวนี้เรารู้แล้วว่าท่านมีผีสิง อับราฮัมก็ตายไปแล้ว และพวกผู้เผยพระวจนะก็ตายไปแล้วเช่นเดียวกัน และท่านพูดว่า " ถ้าผู้ใดประพฤติตามคำของเรา ผู้นั้นจะไม่ชิมความตายเลย " 8:53 ท่านเป็นใหญ่กว่าอับราฮัมบิดาของเราที่ตายไปแล้วหรือ พวกผู้เผยพระวจนะก็ตายไปแล้วด้วย ท่านอวดอ้างว่าท่านเป็นผู้ใดเล่า " 8:54 พระเยซูตรัสตอบว่า " ถ้าเราให้เกียรติแก่ตัวเราเอง เกียรติของเราก็ไม่มีความหมาย พระองค์ผู้ทรงให้เกียรติแก่เรานั้นคือ พระบิดาของเรา ผู้ซึ่งพวกท่านกล่าวว่าเป็นพระเจ้าของพวกท่าน 8:55 ท่านไม่รู้จักพระองค์ แต่เรารู้จักพระองค์ ถ้าเรากล่าวว่าเราไม่รู้จักพระองค์ เราก็จะเป็นคนมุสาเหมือนกับท่าน แต่เรารู้จักพระองค์ และประพฤติตามพระดำรัสของพระองค์ 8:56 อับราฮัมบิดาของท่านชื่นชมยินดีที่จะได้เห็นวันของเรา และท่านก็ได้เห็นแล้วและมีความยินดี " 8:57 พวกยิวก็ทูลพระองค์ว่า " ท่านอายุยังไม่ถึงห้าสิบปี และท่านเคยเห็นอับราฮัมหรือ " 8:58 พระเยซูตรัสกับเขาว่า " เราบอกความจริงแก่ท่านว่า เราดำรงอยู่ก่อนอับราฮัมเกิด " 8:59 คนเหล่านั้นจึงหยิบก้อนหินขึ้นจะขว้างพระองค์ แต่พระเยซูทรงหลบและเสด็จออกไปจากบริเวณพระวิหาร
9:1 เมื่อพระองค์เสด็จดำเนินไปนั้น ทรงเห็นชายคนหนึ่งตาบอดแต่กำเนิด 9:2 และพวกสาวกของพระองค์ทูลถามพระองค์ว่า " พระอาจารย์เจ้าข้า ใครได้ทำผิดบาป ชายคนนี้หรือบิดามารดาของเขา เขาจึงเกิดมาตาบอด " 9:3 พระเยซูตรัสตอบว่า " มิใช่ว่าชายคนนี้หรือบิดามารดาของเขาได้ทำบาป แต่เขาเกิดมาตาบอด เพื่อให้พระราชกิจของพระเจ้าปรากฏในตัวเขา 9:4 เราต้องกระทำพระราชกิจของพระองค์ ผู้ทรงใช้เรามาเมื่อยังวันอยู่ เมื่อถึงกลางคืนไม่มีผู้ใดทำงานได้ 9:5 ตราบใดที่เรายังอยู่ในโลก เราเป็นความสว่างของโลก " 9:6 เมื่อตรัสดังนั้นแล้ว พระองค์ก็ทรงบ้วนพระเขฬะลงที่ดิน แล้วทรงเอาพระเขฬะนั้นทำเป็นโคลนทาที่ตาของคนตาบอด 9:7 แล้วตรัสสั่งเขาว่า " จงไปล้างโคลนออกเสียในสระสิโลอัมเถิด " ( สิโลอัมแปลว่า ใช้ไป ) เขาจึงไปล้างแล้วกลับมาก็เห็นได้ 9:8 เพื่อนบ้านและบรรดาคนที่เคยเห็นชายคนนั้น เป็นคนขอทานมาก่อนก็พูดกันว่า " คนนี้ใช่ไหมที่เคยนั่งขอทาน " 9:9 บางคนก็พูดว่า " ใช่คนนั้นแหละ " คนอื่นว่า " ไม่ใช่ แต่เขาเหมือนคนนั้น " ตัวเขาเองพูดว่า " ข้าพเจ้าคือคนนั้น " 9:10 เขาทั้งหลายจึงถามเขาว่า " ตาของเจ้าหายบอดได้อย่างไร " 9:11 เขาตอบว่า " ชายคนหนึ่งชื่อเยซูได้ทำโคลนทาตาของข้าพเจ้า และบอกข้าพเจ้าว่า " จงไปที่สระสิโลอัมแล้วล้างโคลนออกเสีย " ข้าพเจ้าก็ได้ไปล้างตา จึงมองเห็นได้ " 9:12 เขาจึงถามว่า " ผู้นั้นอยู่ที่ไหน " คนนั้นบอกว่า " ข้าพเจ้าไม่ทราบ " 9:13 เขาจึงพาคนที่แต่ก่อนตาบอดนั้นไปหาพวกฟาริสี 9:14 วันที่พระเยซูทรงทำโคลนทาตาชายคนนั้นให้หายบอด เป็นวันสะบาโต 9:15 พวกฟาริสีก็ได้ถามเขาอีกว่า ทำอย่างไรตาเขาจึงมองเห็น และเขาบอกคนเหล่านั้นว่า " เขาเอาโคลนทาตาของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็ล้างออกแล้วจึงมองเห็น " 9:16 พวกฟาริสีบางคนพูดว่า " ชายคนนี้ไม่ได้มาจากพระเจ้า เพราะเขามิได้รักษาวันสะบาโต " แต่คนอื่นพูดว่า " คนบาปจะทำหมายสำคัญเช่นนั้นได้อย่างไร " พวกเขาก็แตกแยกกัน 9:17 เขาจึงพูดกับคนตาบอดอีกว่า " เจ้าคิดอย่างไรเรื่องคนนั้น ในเมื่อเขาได้ทำให้ตาของเจ้าหายบอด " ชายคนนั้นตอบว่า " ท่านเป็นผู้เผยพระวจนะ " 9:18 พวกยิวไม่เชื่อว่าชายคนนั้นตาบอดและกลับมองเห็น จนกระทั่งเขาได้เรียก บิดามารดาของคนที่ตากลับมองเห็นได้นั้นมา 9:19 แล้วถามว่า " ชายคนนี้เป็นบุตรของเจ้าหรือ ที่เจ้าบอกว่าตาบอดมาแต่กำเนิด ทำไมเดี๋ยวนี้เขาจึงมองเห็น " 9:20 บิดามารดาของชายคนนั้นตอบว่า " ข้าพเจ้าทราบว่าคนนี้เป็นบุตรของข้าพเจ้า และทราบว่าเขาเกิดมาตาบอด 9:21 แต่ไม่รู้ว่าทำไมเดี๋ยวนี้เขาจึงมองเห็น ใครทำให้ตาของเขาหายบอด ข้าพเจ้าก็ไม่ทราบ จงถามเขาเถิด เขาโตแล้ว เขาคงเล่าเรื่องของเขาเองได้ " 9:22 ที่บิดามารดาของเขาพูดอย่างนั้น ก็เพราะกลัวพวกยิวเพราะพวกยิวตกลงกันแล้วว่า ถ้าผู้ใดยอมรับว่าผู้นั้นเป็นพระคริสต์ จะต้องอเปหิผู้นั้นเสียจากธรรมศาลา 9:23 เหตุฉะนั้นบิดามารดาของเขาจึงพูดว่า " เขาโตแล้ว ถามตัวเขาเองเถิด " 9:24 คนเหล่านั้นจึงเรียกคนที่แต่ก่อนตาบอดนั้นมาหาเป็นครั้งที่สอง และบอกเขาว่า " จงสรรเสริญพระเจ้าเถิดเรารู้อยู่ว่าชายคนนั้นเป็นคนบาป " 9:25 เขาตอบว่า " ท่านนั้นเป็นคนบาปหรือไม่ข้าพเจ้าไม่ทราบ สิ่งเดียวที่ข้าพเจ้าทราบ ก็คือว่าข้าพเจ้าเคยตาบอด แต่เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้ามองเห็นได้แล้ว " 9:26 คนเหล่านั้นจึงถามเขาว่า " เขาทำอะไรกับเจ้าบ้าง เขาทำอย่างไรตาของเจ้าจึงหายบอด " 9:27 ชายคนนั้นตอบเขาว่า " ข้าพเจ้าบอกท่านแล้วและท่านไม่ฟัง ทำไมท่านจึงอยากฟังอีก อยากเป็นสาวกของท่านผู้นั้นด้วยหรือ " 9:28 และเขาทั้งหลายจึงเย้ยชายคนนั้นว่า " เอ็งเป็นศิษย์ของเขา แต่เราเป็นศิษย์ของโมเสส 9:29 เรารู้ว่าพระเจ้าได้ตรัสกับโมเสส แต่คนนั้นเราไม่รู้ว่าเขามาจากไหน " 9:30 ชายคนนั้นตอบว่า " เออ ช่างประหลาดจริงๆ ที่พวกท่านไม่รู้ว่าท่านผู้นั้นมาจากไหน แต่ท่านผู้นั้นก็ยังได้ทำให้ตาของข้าพเจ้าหายบอด 9:31 พวกเรารู้ว่าพระเจ้ามิได้ฟังคนบาป แต่ถ้าผู้ใดยำเกรงพระเจ้า และกระทำตามพระทัยพระองค์ พระองค์ก็ทรงฟังผู้นั้น 9:32 ตั้งแต่เริ่มมีโลกมาแล้ว ไม่เคยมีใครได้ยินว่า มีผู้ใดทำให้ตาของคนที่บอดแต่กำเนิดมองเห็นได้ 9:33 ถ้าท่านผู้นั้นไม่ได้มาจากพระเจ้าแล้วก็คงไม่สามารถทำได้ " 9:34 เขาทั้งหลายตอบคนนั้นว่า " เอ็งเกิดมาในการบาปทั้งนั้น และเอ็งจะมาสอนเราหรือ " แล้วเขาจึงอเปหิคนนั้นเสีย 9:35 พระเยซูทรงได้ยินว่าเขาได้อเปหิคนนั้นเสียแล้ว เมื่อพระองค์ทรงพบชายคนนั้นจึงตรัสกับเขาว่า " เจ้าวางใจในบุตรมนุษย์หรือ " 9:36 ชายคนนั้นทูลตอบว่า " ท่านเจ้าข้า ผู้ใดเป็นบุตรมนุษย์ ซึ่งข้าพเจ้าจะวางใจในพระองค์ได้ " 9:37 พระเยซูตรัสกับเขาว่า " เจ้าได้เห็นท่านแล้ว ท่านผู้นั้นเองที่กำลังพูดอยู่กับเจ้า " 9:38 เขาจึงทูลว่า " พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์วางใจ " แล้วเขาก็กราบไหว้พระองค์ 9:39 พระเยซูตรัสว่า " เราเข้ามาในโลกเพื่อแก่การพิพากษา เพื่อให้คนทั้งหลายที่มองไม่เห็นกลับมองเห็น และคนที่มองเห็นกลับตาบอด " 9:40 เมื่อพวกฟาริสีที่อยู่ใกล้พระองค์ได้ยินอย่างนั้น จึงกล่าวแก่พระองค์ว่า " เราตาบอดด้วยหรือ " 9:41 พระเยซูตรัสกับเขาว่า " ถ้าพวกท่านตาบอดพวกท่านก็จะไม่มีความผิดบาป แต่บัดนี้ท่านพูดว่า " เรามองเห็น " เหตุฉะนั้นความผิดบาปของท่านจึงยังมีอยู่ 9:1 เมื่อพระองค์เสด็จดำเนินไปนั้น ทรงเห็นชายคนหนึ่งตาบอดแต่กำเนิด 9:2 และพวกสาวกของพระองค์ทูลถามพระองค์ว่า " พระอาจารย์เจ้าข้า ใครได้ทำผิดบาป ชายคนนี้หรือบิดามารดาของเขา เขาจึงเกิดมาตาบอด " 9:3 พระเยซูตรัสตอบว่า " มิใช่ว่าชายคนนี้หรือบิดามารดาของเขาได้ทำบาป แต่เขาเกิดมาตาบอด เพื่อให้พระราชกิจของพระเจ้าปรากฏในตัวเขา 9:4 เราต้องกระทำพระราชกิจของพระองค์ ผู้ทรงใช้เรามาเมื่อยังวันอยู่ เมื่อถึงกลางคืนไม่มีผู้ใดทำงานได้ 9:5 ตราบใดที่เรายังอยู่ในโลก เราเป็นความสว่างของโลก " 9:6 เมื่อตรัสดังนั้นแล้ว พระองค์ก็ทรงบ้วนพระเขฬะลงที่ดิน แล้วทรงเอาพระเขฬะนั้นทำเป็นโคลนทาที่ตาของคนตาบอด 9:7 แล้วตรัสสั่งเขาว่า " จงไปล้างโคลนออกเสียในสระสิโลอัมเถิด " ( สิโลอัมแปลว่า ใช้ไป ) เขาจึงไปล้างแล้วกลับมาก็เห็นได้ 9:8 เพื่อนบ้านและบรรดาคนที่เคยเห็นชายคนนั้น เป็นคนขอทานมาก่อนก็พูดกันว่า " คนนี้ใช่ไหมที่เคยนั่งขอทาน " 9:9 บางคนก็พูดว่า " ใช่คนนั้นแหละ " คนอื่นว่า " ไม่ใช่ แต่เขาเหมือนคนนั้น " ตัวเขาเองพูดว่า " ข้าพเจ้าคือคนนั้น " 9:10 เขาทั้งหลายจึงถามเขาว่า " ตาของเจ้าหายบอดได้อย่างไร " 9:11 เขาตอบว่า " ชายคนหนึ่งชื่อเยซูได้ทำโคลนทาตาของข้าพเจ้า และบอกข้าพเจ้าว่า " จงไปที่สระสิโลอัมแล้วล้างโคลนออกเสีย " ข้าพเจ้าก็ได้ไปล้างตา จึงมองเห็นได้ " 9:12 เขาจึงถามว่า " ผู้นั้นอยู่ที่ไหน " คนนั้นบอกว่า " ข้าพเจ้าไม่ทราบ " 9:13 เขาจึงพาคนที่แต่ก่อนตาบอดนั้นไปหาพวกฟาริสี 9:14 วันที่พระเยซูทรงทำโคลนทาตาชายคนนั้นให้หายบอด เป็นวันสะบาโต 9:15 พวกฟาริสีก็ได้ถามเขาอีกว่า ทำอย่างไรตาเขาจึงมองเห็น และเขาบอกคนเหล่านั้นว่า " เขาเอาโคลนทาตาของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็ล้างออกแล้วจึงมองเห็น " 9:16 พวกฟาริสีบางคนพูดว่า " ชายคนนี้ไม่ได้มาจากพระเจ้า เพราะเขามิได้รักษาวันสะบาโต " แต่คนอื่นพูดว่า " คนบาปจะทำหมายสำคัญเช่นนั้นได้อย่างไร " พวกเขาก็แตกแยกกัน 9:17 เขาจึงพูดกับคนตาบอดอีกว่า " เจ้าคิดอย่างไรเรื่องคนนั้น ในเมื่อเขาได้ทำให้ตาของเจ้าหายบอด " ชายคนนั้นตอบว่า " ท่านเป็นผู้เผยพระวจนะ " 9:18 พวกยิวไม่เชื่อว่าชายคนนั้นตาบอดและกลับมองเห็น จนกระทั่งเขาได้เรียก บิดามารดาของคนที่ตากลับมองเห็นได้นั้นมา 9:19 แล้วถามว่า " ชายคนนี้เป็นบุตรของเจ้าหรือ ที่เจ้าบอกว่าตาบอดมาแต่กำเนิด ทำไมเดี๋ยวนี้เขาจึงมองเห็น " 9:20 บิดามารดาของชายคนนั้นตอบว่า " ข้าพเจ้าทราบว่าคนนี้เป็นบุตรของข้าพเจ้า และทราบว่าเขาเกิดมาตาบอด 9:21 แต่ไม่รู้ว่าทำไมเดี๋ยวนี้เขาจึงมองเห็น ใครทำให้ตาของเขาหายบอด ข้าพเจ้าก็ไม่ทราบ จงถามเขาเถิด เขาโตแล้ว เขาคงเล่าเรื่องของเขาเองได้ " 9:22 ที่บิดามารดาของเขาพูดอย่างนั้น ก็เพราะกลัวพวกยิวเพราะพวกยิวตกลงกันแล้วว่า ถ้าผู้ใดยอมรับว่าผู้นั้นเป็นพระคริสต์ จะต้องอเปหิผู้นั้นเสียจากธรรมศาลา 9:23 เหตุฉะนั้นบิดามารดาของเขาจึงพูดว่า " เขาโตแล้ว ถามตัวเขาเองเถิด " 9:24 คนเหล่านั้นจึงเรียกคนที่แต่ก่อนตาบอดนั้นมาหาเป็นครั้งที่สอง และบอกเขาว่า " จงสรรเสริญพระเจ้าเถิดเรารู้อยู่ว่าชายคนนั้นเป็นคนบาป " 9:25 เขาตอบว่า " ท่านนั้นเป็นคนบาปหรือไม่ข้าพเจ้าไม่ทราบ สิ่งเดียวที่ข้าพเจ้าทราบ ก็คือว่าข้าพเจ้าเคยตาบอด แต่เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้ามองเห็นได้แล้ว " 9:26 คนเหล่านั้นจึงถามเขาว่า " เขาทำอะไรกับเจ้าบ้าง เขาทำอย่างไรตาของเจ้าจึงหายบอด " 9:27 ชายคนนั้นตอบเขาว่า " ข้าพเจ้าบอกท่านแล้วและท่านไม่ฟัง ทำไมท่านจึงอยากฟังอีก อยากเป็นสาวกของท่านผู้นั้นด้วยหรือ " 9:28 และเขาทั้งหลายจึงเย้ยชายคนนั้นว่า " เอ็งเป็นศิษย์ของเขา แต่เราเป็นศิษย์ของโมเสส 9:29 เรารู้ว่าพระเจ้าได้ตรัสกับโมเสส แต่คนนั้นเราไม่รู้ว่าเขามาจากไหน " 9:30 ชายคนนั้นตอบว่า " เออ ช่างประหลาดจริงๆ ที่พวกท่านไม่รู้ว่าท่านผู้นั้นมาจากไหน แต่ท่านผู้นั้นก็ยังได้ทำให้ตาของข้าพเจ้าหายบอด 9:31 พวกเรารู้ว่าพระเจ้ามิได้ฟังคนบาป แต่ถ้าผู้ใดยำเกรงพระเจ้า และกระทำตามพระทัยพระองค์ พระองค์ก็ทรงฟังผู้นั้น 9:32 ตั้งแต่เริ่มมีโลกมาแล้ว ไม่เคยมีใครได้ยินว่า มีผู้ใดทำให้ตาของคนที่บอดแต่กำเนิดมองเห็นได้ 9:33 ถ้าท่านผู้นั้นไม่ได้มาจากพระเจ้าแล้วก็คงไม่สามารถทำได้ " 9:34 เขาทั้งหลายตอบคนนั้นว่า " เอ็งเกิดมาในการบาปทั้งนั้น และเอ็งจะมาสอนเราหรือ " แล้วเขาจึงอเปหิคนนั้นเสีย 9:35 พระเยซูทรงได้ยินว่าเขาได้อเปหิคนนั้นเสียแล้ว เมื่อพระองค์ทรงพบชายคนนั้นจึงตรัสกับเขาว่า " เจ้าวางใจในบุตรมนุษย์หรือ " 9:36 ชายคนนั้นทูลตอบว่า " ท่านเจ้าข้า ผู้ใดเป็นบุตรมนุษย์ ซึ่งข้าพเจ้าจะวางใจในพระองค์ได้ " 9:37 พระเยซูตรัสกับเขาว่า " เจ้าได้เห็นท่านแล้ว ท่านผู้นั้นเองที่กำลังพูดอยู่กับเจ้า " 9:38 เขาจึงทูลว่า " พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์วางใจ " แล้วเขาก็กราบไหว้พระองค์ 9:39 พระเยซูตรัสว่า " เราเข้ามาในโลกเพื่อแก่การพิพากษา เพื่อให้คนทั้งหลายที่มองไม่เห็นกลับมองเห็น และคนที่มองเห็นกลับตาบอด " 9:40 เมื่อพวกฟาริสีที่อยู่ใกล้พระองค์ได้ยินอย่างนั้น จึงกล่าวแก่พระองค์ว่า " เราตาบอดด้วยหรือ " 9:41 พระเยซูตรัสกับเขาว่า " ถ้าพวกท่านตาบอดพวกท่านก็จะไม่มีความผิดบาป แต่บัดนี้ท่านพูดว่า " เรามองเห็น " เหตุฉะนั้นความผิดบาปของท่านจึงยังมีอยู่
10:1 " เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ผู้ที่มิได้เข้าไปในคอกแกะทางประตู แต่ปีนเข้าไปทางอื่นนั้นเป็นขโมยและโจร 10:2 แต่ผู้ที่เข้าทางประตูก็เป็นผู้เลี้ยงแกะ 10:3 นายประตูจึงเปิดประตูให้ผู้นั้น แกะย่อมฟังเสียงของท่าน ท่านเรียกชื่อแกะของท่าน และนำออกไป 10:4 เมื่อท่านต้อนแกะของท่าน ออกไปหมดแล้ว ก็เดินนำหน้า และแกะก็ตามท่านไป เพราะรู้จักเสียงของท่าน 10:5 ส่วนผู้อื่นแกะจะไม่ตามเลย แต่จะหนีไปจากเขา เพราะไม่รู้จักเสียงของผู้อื่น " 10:6 คำเปรียบนั้นพระเยซูได้ตรัสกับเขาทั้งหลาย แต่เขาไม่เข้าใจความหมายของพระดำรัส ที่พระองค์ตรัสกับเขาเลย 10:7 พระเยซูจึงตรัสกับเขาอีกว่า " เราบอกความจริงแก่ท่านว่า เราเป็นประตูของแกะทั้งหลาย 10:8 บรรดาผู้ที่มาก่อนเรานั้นเป็นขโมยและโจร แต่ฝูงแกะก็มิได้ฟังเขา 10:9 เราเป็นประตู ถ้าผู้ใดเข้าไปทางเราผู้นั้นก็จะรอด เขาจะเข้าออกแล้วก็จะพบอาหาร 10:10 ขโมยนั้นย่อมมาเพื่อจะลักและฆ่าและทำลายเสีย เราได้มาเพื่อเขาทั้งหลายจะได้ชีวิต และจะได้อย่างครบบริบูรณ์ 10:11 เราเป็นผู้เลี้ยงที่ดี ผู้เลี้ยงที่ดีนั้นย่อมสละชีวิตของตนเพื่อฝูงแกะ 10:12 ผู้ที่รับจ้างมิได้เป็นผู้เลี้ยงแกะ และฝูงแกะไม่เป็นของเขา เมื่อเห็นสุนัขป่ามาเขาจึงละทิ้งฝูงแกะหนีไป สุนัขป่าก็ชิงเอาแกะไปเสีย และทำให้ฝูงแกะกระจัดกระจายไป 10:13 เขาหนีเพราะเขาเป็นลูกจ้างและไม่เป็นห่วงแกะเลย 10:14 เราเป็นผู้เลี้ยงที่ดี เรารู้จักแกะของเราและแกะของเราก็รู้จักเรา 10:15 ดังที่พระบิดาทรงรู้จักเราและเรารู้จักพระบิดา และชีวิตของเรา เราสละเพื่อแกะ 10:16 แกะอื่นซึ่งมิได้เป็นของคอกนี้เราก็มีอยู่ แกะเหล่านั้นเราก็ต้องพามาด้วย และแกะเหล่านั้นจะฟังเสียงของเรา แล้วจะรวมเป็นฝูงเดียว และมีผู้เลี้ยงเพียงผู้เดียว 10:17 ด้วยเหตุนี้พระบิดาจึงทรงรักเรา เพราะเราสละชีวิตของเรา เพื่อจะรับชีวิตนั้นคืนมาอีก 10:18 ไม่มีผู้ใดชิงชีวิตไปจากเราได้ แต่เราสละชีวิตด้วยใจสมัครของเราเอง เรามีสิทธิที่จะสละชีวิตนั้น และมีสิทธิที่จะรับคืนอีก คำกำชับนี้ เราได้รับมาจากพระบิดาของเรา " 10:19 พระดำรัสนี้ทำให้พวกยิวแตกแยกกันอีก 10:20 พวกเขาหลายคนพูดว่า " เขามีผีสิงและเป็นบ้า ไปฟังเขาทำไม " 10:21 พวกอื่นก็พูดว่า " คำอย่างนี้ไม่เป็นคำของผู้ที่มีผีสิง ผีจะทำให้คนตาบอดมองเห็นได้หรือ " 10:22 ขณะนั้นเป็นเทศกาลฉลองพระวิหารที่กรุงเยรูซาเล็ม 10:23 เป็นฤดูหนาว พระเยซูทรงดำเนินอยู่ในบริเวณพระวิหารที่เฉลียงของซาโลมอน 10:24 พวกยิวก็พากันมาห้อมล้อมพระองค์และทูลว่า " จะให้ใจเราแขวนอยู่นานสักเท่าใด ถ้าท่านเป็นพระคริสต์ก็จงบอกเราให้ชัดแจ้งเถิด " 10:25 พระเยซูตรัสกับเขาทั้งหลายว่า " เราได้บอกท่านทั้งหลายแล้วและท่านไม่เชื่อ สิ่งซึ่งเราได้กระทำในพระนามพระบิดาของเรา ก็เป็นพยานให้แก่เรา 10:26 แต่ท่านทั้งหลายไม่เชื่อเพราะท่านมิได้เป็นแกะของเรา 10:27 แกะของเราย่อมฟังเสียงของเรา และเรารู้จักแกะเหล่านั้น และแกะนั้นตามเรา 10:28 เราให้ชีวิตนิรันดร์แก่แกะนั้น แกะนั้นจะไม่พินาศเลย และจะไม่มีผู้ใดแย่งชิงแกะเหล่านั้นไปจากมือของเราได้ 10:29 พระบิดาของเราผู้ประทานแกะนั้นให้แก่เราเป็นใหญ่กว่าทุกสิ่ง และไม่มีผู้ใดอาจชิงแกะนั้น ไปจากพระหัตถ์ของพระบิดาของเราได้ 10:30 เรากับพระบิดาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน " 10:31 พวกยิวจึงหยิบก้อนหินขึ้นมาอีกจะขว้างพระองค์ให้ตาย 10:32 พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า " เราได้สำแดงให้ท่านเห็นการดีหลายประการ ของพระบิดาของเรา ท่านทั้งหลายหยิบก้อนหินจะขว้างเราให้ตาย เพราะการกระทำข้อใดเล่า " 10:33 พวกยิวทูลตอบพระองค์ว่า " เราจะขว้างท่านมิใช่เพราะการกระทำดี แต่เพราะการพูดหมิ่นประมาทพระเจ้า เพราะท่านเป็นเพียงมนุษย์แต่ตั้งตัวเป็นพระเจ้า " 10:34 พระเยซูตรัสว่า " ในพระธรรมของท่านมีคำเขียนไว้มิใช่หรือว่า " เราได้กล่าวว่าท่านทั้งหลายเป็นพระ 10:35 ถ้าพระธรรมนั้นเรียกผู้ที่รับพระวจนะของพระเจ้าว่า เขาเป็นพระ ( และจะฝ่าฝืนพระคัมภีร์ไม่ได้ ) 10:36 ท่านทั้งหลายจะกล่าวหาท่านที่พระบิดาได้ทรงตั้งไว้ และทรงใช้เข้ามาในโลกว่า " ท่านกล่าวคำหมิ่นประมาทพระเจ้า " เพราะเราได้กล่าวว่า " เราเป็นบุตรของพระเจ้า " อย่างนั้นหรือ 10:37 ถ้าเราไม่ปฏิบัติพระราชกิจของพระบิดาของเรา ก็อย่าวางใจในเราเลย 10:38 แต่ถ้าเราปฏิบัติพระราชกิจนั้น แม้ว่าท่านมิได้วางใจในเรา ก็จงวางใจเพราะพระราชกิจนั้นเถิด เพื่อท่านจะได้รู้และเข้าใจว่าพระบิดาทรงอยู่ในเรา และเราอยู่ในพระบิดา " 10:39 พวกเขาพยายามจะจับพระองค์อีกครั้งหนึ่ง แต่พระองค์ทรงรอดพ้นจากมือเขาไปได้ 10:40 พระองค์เสด็จข้ามแม่น้ำจอร์แดนอีก และไปถึงตำบลที่เมื่อก่อนนั้นยอห์นให้บัพติศมา และพระองค์ทรงพักอยู่ที่นั่น 10:41 คนเป็นอันมากพากันมาหาพระองค์ กล่าวว่า " ยอห์นมิได้ทำหมายสำคัญใดๆเลย แต่ทุกสิ่งซึ่งยอห์นได้กล่าวถึงท่านผู้นี้เป็นความจริง " 10:42 และมีคนหลายคนที่นั่นได้วางใจในพระองค์
11:1 มีชายคนหนึ่ง ชื่อลาซารัสกำลังป่วยอยู่ที่หมู่บ้านเบธานี ซึ่งเป็นชนบทที่มารีย์และมารธาพี่สาวของเธออยู่นั้น 11:2 มารีย์ผู้นี้คือหญิงที่เอาน้ำมันหอมชโลมพระองค์ และเอาผมของนางเช็ดพระบาทของพระองค์ ลาซารัสน้องชายของเธอกำลังป่วยอยู่ 11:3 ดังนั้นพี่สาวทั้งสอง จึงให้คนไปเฝ้าพระเยซูทูลว่า " พระองค์เจ้าข้า ผู้ที่พระองค์ทรงรักนั้นกำลังป่วยอยู่ " 11:4 แต่เมื่อพระเยซูทรงได้ยินแล้วก็ตรัสว่า " โรคนั้นจะไม่ถึงตาย แต่เกิดขึ้นเพื่อเชิดชูพระเกียรติของพระเจ้า เพื่อให้พระบุตรของพระเจ้าทรงได้รับเกียรติเพราะโรคนั้น " 11:5 พระเยซูทรงรักมารธาและน้องสาวของเธอและลาซารัส 11:6 ครั้นพระองค์ทรงได้ยินว่าลาซารัสป่วยอยู่ พระองค์จึงทรงพักอยู่ที่ที่พระองค์ทรงอยู่นั้นอีกสองวัน 11:7 หลังจากนั้นพระองค์ก็ตรัสกับพวกสาวกว่า " เราเข้าไปในแคว้นยูเดียกันอีกเถิด " 11:8 พวกสาวกทูลพระองค์ว่า " พระอาจารย์เจ้าข้า เมื่อเร็วๆนี้ พวกยิวหาโอกาสเอาหินขว้างพระองค์ให้ตาย แล้วพระองค์ยังจะเสด็จไปที่นั่นอีกหรือ " 11:9 พระเยซูตรัสตอบว่า " วันหนึ่งมีสิบสองชั่วโมงมิใช่หรือ ถ้าผู้ใดเดินในตอนกลางวันเขาก็จะไม่สะดุด เพราะเขาเห็นความสว่างของโลกนี้ 11:10 แต่ถ้าผู้ใดเดินในตอนกลางคืนเขาก็จะสะดุด เพราะไม่มีความสว่างในตัวเขา " 11:11 พระองค์ตรัสดังนั้นแล้วจึงตรัสกับเขาว่า " ลาซารัสสหายของเราหลับไปแล้ว แต่เราไปเพื่อจะปลุกเขาให้ตื่น " 11:12 พวกสาวกทูลว่า " พระองค์เจ้าข้า ถ้าเขาหลับอยู่เขาก็คงจะหายดี " 11:13 พระเยซูตรัสถึงความตายของลาซารัส แต่พวกสาวกคิดว่าพระองค์ตรัสถึงการนอนหลับพักผ่อน 11:14 ฉะนั้นพระเยซูจึงตรัสกับเขาตรงๆว่า " ลาซารัสตายแล้ว 11:15 เพื่อเห็นแก่ท่านทั้งหลายเราจึงยินดีที่เรามิได้อยู่ที่นั่น เพื่อท่านจะได้เชื่อ เราไปหาเขากันเถิด " 11:16 โธมัสที่เรียกว่า แฝดจึงพูดกับเพื่อนสาวกว่า " พวกเราไปกับพระองค์ด้วยเถิด เพื่อจะได้ตายด้วยกันกับพระองค์ " 11:17 ครั้นพระเยซูเสด็จมาถึง ก็ทรงทราบว่าเขาเอาลาซารัสไปไว้ในอุโมงค์ฝังศพสี่วันแล้ว 11:18 หมู่บ้านเบธานีอยู่ใกล้กรุงเยรูซาเล็ม ห่างกันประมาณสามกิโลเมตร 11:19 พวกยิวหลายคนได้มาหามารธาและมารีย์ เพื่อจะปลอบโยนเธอเรื่องน้องชายของเธอ 11:20 ครั้นมารธารู้ข่าวว่า พระเยซูกำลังเสด็จมาเธอก็ออกไปต้อนรับพระองค์ แต่มารีย์นั่งอยู่ในเรือน 11:21 มารธาทูลพระเยซูว่า " พระองค์เจ้าข้า ถ้าพระองค์อยู่ที่นี่น้องชายของข้าพระองค์ก็คงไม่ตาย 11:22 ถึงแม้เดี๋ยวนี้ข้าพระองค์ก็ทราบว่าสิ่งใดๆที่พระองค์จะทูลขอจากพระเจ้า พระเจ้าจะทรงโปรดประทานแก่พระองค์ " 11:23 พระเยซูตรัสกับนางว่า " น้องชายของเจ้าจะฟื้นขึ้นมาอีก " 11:24 มารธาทูลพระองค์ว่า " ข้าพระองค์ทราบแล้วว่าเขาจะฟื้นขึ้นมาอีกในวันสุดท้าย เมื่อคนทั้งปวงจะฟื้นขึ้นมา " 11:25 พระเยซูตรัสกับเธอว่า " เราเป็นเหตุให้คนทั้งปวงเป็นขึ้นและมีชีวิต ผู้ที่วางใจในเรานั้น ถึงแม้ว่าเขาตายแล้วก็ยังจะมีชีวิตอีก 11:26 และทุกคนที่มีชีวิตและวางใจในเราจะไม่ตายเลย เจ้าเชื่ออย่างนี้ไหม " 11:27 มารธาทูลพระองค์ว่า " เชื่อพระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์เชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าที่เสด็จมาในโลก " 11:28 เมื่อเธอทูลดังนี้แล้ว เธอก็กลับไปเรียกมารีย์น้องสาว กระซิบว่า " พระอาจารย์เสด็จมาแล้ว และทรงเรียกเจ้า " 11:29 เมื่อมารีย์ได้ยินแล้วเธอก็รีบลุกขึ้นไปเฝ้าพระองค์ 11:30 ฝ่ายพระเยซูยังไม่เสด็จเข้าไปในหมู่บ้าน แต่ยังประทับอยู่ ณ ที่ซึ่งมารธาพบพระองค์นั้น 11:31 เมื่อพวกยิวที่อยู่กับมารีย์ในเรือนกำลังปลอบโยนเธออยู่ เห็นมารีย์รีบลุกขึ้นเดินออกไป เขาทั้งหลายจึงตามเธอไป นึกว่าเธอจะไปร้องไห้ที่อุโมงค์ 11:32 ครั้นมารีย์มาถึงที่ซึ่งพระเยซูประทับอยู่และเห็นพระองค์แล้ว จึงกราบลงที่พระบาทของพระองค์ทูลว่า " พระองค์เจ้าข้า ถ้าพระองค์ประทับอยู่ที่นี่ น้องชายของข้าพระองค์ก็คงไม่ตาย " 11:33 เมื่อพระเยซูทรงเห็นเธอร้องไห้ และพวกยิวที่มากับเธอก็ร้องไห้ด้วย พระองค์ก็ทรงสะเทือนพระทัยและทรงเป็นทุกข์ 11:34 พระองค์ตรัสว่า " พวกเจ้าเอาศพเขาไปไว้ที่ไหน " เขาทูลพระองค์ว่า " พระองค์เจ้าข้า เชิญเสด็จมาดูเถิด " 11:35 พระเยซูทรงพระกันแสง { ราชาศัพท์ แปลว่า ร้องไห้ } 11:36 พวกยิวจึงกล่าวว่า " ดูซิพระองค์ทรงรักเขาเพียงไร " 11:37 แต่บางคนก็พูดว่า " ท่านผู้นี้ทำให้คนตาบอดมองเห็น จะทำให้คนนี้ไม่ตายไม่ได้หรือ " 11:38 พระเยซูทรงสะเทือนพระทัยอีกจึงเสด็จมาถึงอุโมงค์ฝังศพ อุโมงค์นั้นเป็นถ้ำ มีหินก้อนหนึ่งวางปิดปากไว้ 11:39 พระเยซูตรัสว่า " จงเอาหินออกเสีย " มารธาพี่สาวของผู้ตายจึงทูลพระองค์ว่า " พระองค์เจ้าข้า ป่านนี้ศพมีกลิ่นเหม็นแล้ว เพราะว่าเขาตายมาสี่วันแล้ว " 11:40 พระเยซูตรัสกับเธอว่า " เราบอกเจ้าแล้วมิใช่หรือว่า ถ้าเจ้าเชื่อเจ้าก็จะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า " 11:41 พวกเขาจึงเอาหินออก พระเยซูทรงแหงนพระพักตร์ขึ้นตรัสว่า " ข้าแต่พระบิดา ข้าพระองค์ขอบพระคุณพระองค์ ที่พระองค์ทรงโปรดฟังข้าพระองค์ 11:42 ข้าพระองค์ทราบว่าพระองค์ทรงฟังข้าพระองค์อยู่เสมอ แต่ที่ข้าพระองค์กล่าวอย่างนี้ก็เพราะเห็นแก่ประชาชนที่ยืนอยู่ที่นี่ เพื่อเขาจะได้เชื่อว่าพระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มา " 11:43 เมื่อพระองค์ตรัสดังนั้นแล้วจึงเปล่งพระสุรเสียง ตรัสว่า " ลาซารัสเอ๋ย ออกมาเถิด " 11:44 ผู้ตายนั้นก็ออกมา มีผ้าพันมือและเท้า และที่หน้าก็มีผ้าพันอยู่ด้วย พระเยซูตรัสกับเขาทั้งหลายว่า " จงแก้ผ้าที่พันออกเสีย แล้วปล่อยเขาเถิด " 11:45 ดังนั้นพวกยิวหลายคนที่มาหามารีย์ และได้เห็นการกระทำของพระเยซู ก็วางใจในพระองค์ 11:46 แต่พวกเขาบางคนไปหาพวกฟาริสี เล่าเหตุการณ์ที่พระเยซูได้ทรงกระทำให้ฟัง 11:47 ฉะนั้นพวกมหาปุโรหิต และพวกฟาริสีก็เรียกประชุมสมาชิกสภาแล้วว่า " เราจะทำอย่างไรกัน เพราะว่าชายผู้นี้ทำสิ่งที่เป็นหมายสำคัญหลายประการ 11:48 ถ้าเราปล่อยเขาไว้อย่างนี้ คนทั้งปวงจะเชื่อถือเขา แล้วพวกโรมก็จะมาทำลายทั้งพระวิหารและชาติของเรา " 11:49 แต่คนหนึ่งในพวกเขา ชื่อคายาฟาสเป็นมหาปุโรหิตประจำการในปีนั้น กล่าวแก่เขาทั้งหลายว่า " ท่านทั้งหลายไม่รู้อะไรเสียเลย 11:50 และไม่รู้ว่ามันจะเป็นประโยชน์แก่ท่านทั้งหลาย ถ้าจะให้คนตายเสียคนหนึ่ง แทนที่จะให้คนทั้งชาติต้องพินาศ " 11:51 เขามิได้กล่าวอย่างนั้นตามใจชอบ แต่เพราะว่าเขาเป็นมหาปุโรหิตประจำการในปีนั้น จึงกล่าวเป็นคำพยากรณ์ว่าพระเยซูจะสิ้นพระชนม์แทนชนชาตินั้น 11:52 และมิใช่แทนชนชาตินั้นอย่างเดียว แต่เพื่อจะรวบรวมบุตรทั้งหลายของพระเจ้า ที่กระจัดกระจายไปนั้นให้เข้าเป็นพวกเดียวกัน 11:53 ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เขาทั้งหลายจึงคิดอ่านจะฆ่าพระองค์เสีย 11:54 เหตุฉะนั้นพระเยซูจึงไม่เสด็จในหมู่พวกยิวอย่างเปิดเผยอีก แต่ได้เสด็จออกจากที่นั่น ไปยังถิ่นที่อยู่ใกล้ถิ่นทุรกันดาร ถึงเมืองหนึ่งชื่อเอฟราอิม และทรงพักอยู่ที่นั่นกับพวกสาวก 11:55 ขณะนั้นใกล้จะถึงเทศกาลปัสกาของพวกยิวแล้ว และคนเป็นอันมากได้ออกจากหัวเมืองนั้นขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม ก่อนเทศกาลปัสกาเพื่อจะชำระตัว 11:56 เขาทั้งหลายพากันมองหาพระเยซู และเมื่อเขาทั้งหลายยืนอยู่ในบริเวณพระวิหาร เขาก็พูดกันว่า " ท่านทั้งหลายคิดเห็นอย่างไร พระองค์จะไม่เสด็จมาในงานเทศกาลนี้หรือ " 11:57 ฝ่ายพวกมหาปุโรหิตและพวกฟาริสีได้ออกคำสั่งไว้ว่า ถ้าผู้ใดรู้ว่าพระองค์อยู่ที่ไหน ก็ให้มาบอกพวกเขาเพื่อจะได้ไปจับพระองค์
12:1 ก่อนปัสกาหกวัน พระเยซูเสด็จมาถึงหมู่บ้านเบธานี ซึ่งเป็นที่อยู่ของลาซารัสผู้ซึ่งพระองค์ทรงให้ฟื้นขึ้นจากตาย 12:2 ที่นั่นเขาจัดงานเลี้ยงพระองค์ มารธาก็ปรนนิบัติอยู่ และลาซารัสก็เป็นคนหนึ่งที่ร่วมรับประทานอาหารกับพระองค์ 12:3 มารีย์เอาน้ำมันหอมนารดาบริสุทธิ์หนักประมาณครึ่งกิโลกรัม ซึ่งมีราคาแพงมากมาชโลมพระบาทพระเยซู และเอาผมของเธอเช็ดพระบาทของพระองค์ เรือนก็หอมฟุ้งไปด้วยกลิ่นน้ำมันนั้น 12:4 แต่สาวกคนหนึ่งของพระองค์ ชื่อยูดาสอิสคาริโอท ( คือคนที่จะอายัดพระองค์ไว้ ) พูดว่า 12:5 " เหตุไฉนจึงไม่ขายน้ำมันนั้นเป็นเงินสักสามร้อยเดนาริอัน { ดูหมายเหตุ บทที่ข้อ } แล้วแจกให้แก่คนจน " 12:6 เขาพูดอย่างนั้นมิใช่เพราะเขาเอาใจใส่คนจน แต่เพราะเขาเป็นคนหัวขโมย คือเขาได้ถือกล่องเก็บเงินและได้ยักยอกเงินที่ใส่ไว้ในนั้นไป 12:7 พระเยซูตรัสว่า " ช่างเขาเถิดให้เขาเก็บน้ำมันนี้ไว้จนถึงวันฝังศพของเรา 12:8 เพราะว่ามีคนจนอยู่กับท่านเสมอ แต่เราจะไม่อยู่กับท่านเสมอ " 12:9 ฝ่ายพวกยิวเป็นอันมากรู้ว่าพระองค์ประทับอยู่ที่นั่น จึงมาเฝ้าพระองค์ ไม่ใช่เพราะเห็นแก่พระเยซูเท่านั้น แต่อยากเห็นลาซารัสผู้ซึ่งพระองค์ได้ทรงให้ฟื้นขึ้นมาจากตายด้วย 12:10 ดังนั้นพวกมหาปุโรหิตจึงคิดจะฆ่าลาซารัสเสียด้วย 12:11 เพราะลาซารัสเป็นต้นเหตุ ที่ทำให้พวกยิวหลายคนออกจากพวกเขาไปเชื่อถือพระเยซู 12:12 วันรุ่งขึ้นเมื่อคนเป็นอันมากที่มาในงานเทศกาลนั้น ได้ยินว่าพระเยซูเสด็จมาถึงกรุงเยรูซาเล็ม 12:13 เขาก็พากันถือทางอินทผลัมออกไปต้อนรับพระองค์ ร้องว่า " โฮซันนา { ในที่นี้เป็นข้อความแสดงการสรรเสริญ } ขอให้พระองค์ผู้เสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า คือ พระมหากษัตริย์แห่งอิสราเอล ทรงพระเจริญ " 12:14 และพระเยซูทรงพบลูกลาตัวหนึ่ง จึงทรงลานั้นเหมือนดังที่มีคำเขียนไว้ว่า 12:15 " ธิดาแห่งศิโยนเอ๋ย อย่ากลัวเลย จงดู กษัตริย์ของเธอทรงลูกลาเสด็จมา 12:16 ทีแรกพวกสาวกของพระองค์ไม่เข้าใจในเหตุการณ์นั้น แต่เมื่อพระเยซูทรงประสบเกียรติกิจแล้ว เขาจึงระลึกได้ว่ามีคำเช่นนั้นเขียนไว้กล่าวถึงพระองค์ และคนทั้งหลายได้กระทำอย่างนั้นถวายพระองค์ 12:17 คนทั้งปวงซึ่งได้อยู่กับพระองค์ เมื่อพระองค์ได้ทรงเรียกลาซารัสให้ออกมาจากอุโมงค์ฝังศพ และทรงให้เขาฟื้นขึ้นมาจากความตายก็เป็นพยาน ในสิ่งที่เขาได้ยินและได้เห็น 12:18 เหตุที่ประชาชนพากันไปหาพระองค์ ก็เพราะเขาได้ยินว่าพระองค์ทรงกระทำหมายสำคัญนั้น 12:19 พวกฟาริสีจึงพูดกันว่า " ท่านเห็นไหมว่าท่านทำอะไรไม่ได้เลยดูซิ โลกตามเขาไปหมดแล้ว " 12:20 ในหมู่คนทั้งหลายที่ขึ้นไปนมัสการในงานเทศกาลนั้น มีพวกกรีกบ้าง 12:21 พวกกรีกนั้นจึงไปหาฟีลิปซึ่งมาจากหมู่บ้านเบธไซดาในแคว้นกาลิลี แล้วพูดกับเขาว่า " ท่านเจ้าข้า พวกข้าพเจ้าจะใคร่เห็นพระเยซู " 12:22 ฟีลิปจึงไปบอกอันดรูว์ แล้วอันดรูว์กับฟีลิปจึงไปทูลพระเยซู 12:23 และพระเยซูตรัสตอบเขาว่า " ถึงเวลาแล้วที่บุตรมนุษย์จะประสบเกียรติกิจ 12:24 เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าเมล็ดข้าวไม่ได้ตกลงไปในดินและเปื่อยเน่าไป ก็จะคงอยู่เป็นเมล็ดเดียว แต่ถ้าเปื่อยเน่าไปแล้ว ก็จะงอกขึ้นเกิดผลมาก 12:25 ผู้ใดที่รักชีวิตของตนก็ต้องเสียชีวิต และผู้ที่ชังชีวิตของตนในโลกนี้ ก็จะธำรงชีวิตนั้นไว้นิรันดร์ 12:26 ถ้าผู้ใดจะรับใช้เรา ผู้นั้นก็ต้องตามเรามา และเราอยู่ที่ไหนผู้รับใช้ของเราจะอยู่ที่นั่นด้วย ถ้าผู้ใดรับใช้เรา พระบิดาก็จะทรงประทานเกียรติแก่ผู้นั้น 12:27 " บัดนี้จิตใจของเราเป็นทุกข์และเราจะพูดอย่างไร จะว่า " ข้าแต่พระบิดา ขอทรงโปรดช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากการย์แห่งกาลนี้ { แปลตามตัวว่า กิจการของเวลานี้ คือหมายถึง เวลาแห่งการทดลอง การทดสอบ และการทนทุกข์ } " อย่างนั้นหรือ หามิได้ เพราะด้วยความประสงค์นี้เอง เราจึงมาถึงการย์แห่งกาลนี้ 12:28 ข้าแต่พระบิดา ขอให้พระนามของพระองค์จงได้รับเกียรติ " แล้วก็มีพระสุรเสียงดังมาจากฟ้าว่า " เราได้ให้รับเกียรติแล้ว และเราจะให้รับเกียรติอีก " 12:29 คนทั้งหลายที่ยืนอยู่ที่นั่นได้ยินเสียงนั้นและพูดว่าฟ้าร้อง คนอื่นๆก็พูดว่า " ทูตสวรรค์องค์หนึ่งได้กล่าวกับพระองค์ " 12:30 พระเยซูตรัสตอบว่า " เสียงนั้นเกิดขึ้นเพื่อท่านทั้งหลาย ไม่ใช่เพื่อเรา 12:31 บัดนี้ถึงเวลาที่จะพิพากษาโลกนี้แล้ว เดี๋ยวนี้เจ้าโลกนี้จะถูกกำจัดออกไป 12:32 เมื่อเราถูกยกขึ้นจากแผ่นดินโลกแล้ว เราก็จะชักนำคนเป็นอันมากให้มาหาเรา " 12:33 พระองค์ตรัสเช่นนั้นเพื่อสำแดงว่าพระองค์จะสิ้นพระชนม์อย่างไร 12:34 คนทั้งหลายจึงทูลพระองค์ว่า " ข้าพเจ้าทราบจากพระธรรมว่า พระคริสต์จะอยู่เป็นนิตย์ เหตุไฉนท่านจึงว่า " บุตรมนุษย์จะต้องถูกยกขึ้น " บุตรมนุษย์นั้นคือผู้ใดเล่า " 12:35 พระเยซูตรัสกับเขาว่า " ความสว่างจะอยู่ไปกับท่านทั้งหลายอีกหน่อยหนึ่ง เมื่อยังมีความสว่างอยู่ก็จงเดินไปเถิด เกรงว่าความมืดจะตามมาทันท่าน ผู้ที่เดินอยู่ในความมืด ย่อมไม่รู้ว่าตนไปทางไหน 12:36 เมื่อท่านทั้งหลายมีความสว่าง ก็จงวางใจในความสว่างนั้น เพื่อจะได้เป็นลูกแห่งความสว่าง " เมื่อพระเยซูตรัสดังนั้นแล้วก็ทรงจากเขาไป และซ่อนพระองค์ให้พ้นจากพวกเขา 12:37 ถึงแม้ว่าพระองค์ได้ทรงกระทำหมายสำคัญหลายประการทีเดียวให้เขาเห็น เขาทั้งหลายก็ยังไม่วางใจในพระองค์ 12:38 ทั้งนี้เพื่อจะสำเร็จตามคำของอิสยาห์ผู้เผยพระวจนะซึ่งว่า " พระองค์เจ้าข้า ผู้ใดจะเชื่อสิ่งที่เราได้ประกาศ และพระกรของพระเจ้าได้ทรงสำแดงแก่ผู้ใด 12:39 ฉะนั้นพวกเขาจึงเชื่อไม่ได้ เพราะอิสยาห์ได้กล่าวไว้อีกว่า 12:40 " พระองค์ได้ทรงปิดตาของเขาทั้งหลาย และทำใจของเขาให้มืดมัวไป เกรงว่าเขาจะเห็นด้วยตาของเขา และเข้าใจด้วยจิตใจของเขา และหันกลับมาให้เรารักษาเขาให้หาย 12:41 อิสยาห์กล่าวดังนี้ เพราะว่าท่านได้เห็นพระสิริของพระองค์ และได้กล่าวถึงพระองค์ 12:42 อย่างไรก็ดีแม้ในพวกเจ้าหน้าที่เองก็มีหลายคนศรัทธาในพระองค์ แต่เขาไม่ยอมรับพระองค์อย่างเปิดเผยเพราะกลัวพวกฟาริสี เขากลัวว่าจะถูกอเปหิออกจากธรรมศาลา 12:43 เพราะว่าเขารักการสรรเสริญของมนุษย์ มากกว่าการสรรเสริญของพระเจ้า 12:44 และพระเยซูทรงประกาศว่า " บรรดาผู้ที่วางใจในเรานั้น หาได้วางใจในเราเองไม่ แต่วางใจในพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา 12:45 และผู้ที่เห็นเราก็เห็นพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา 12:46 เราเข้ามาในโลกเป็นความสว่าง เพื่อทุกคนที่วางใจในเราจะมิได้อยู่ในความมืด 12:47 ถ้าผู้ใดได้ยินถ้อยคำของเราและไม่กระทำตาม เราก็ไม่พิพากษาผู้นั้น เพราะว่าเรามิได้มาเพื่อจะพิพากษาโลก แต่มาเพื่อจะช่วยโลกให้รอด 12:48 ถ้าผู้ใดไม่ยอมรับเราและไม่รับคำของเรา ผู้นั้นจะมีสิ่งหนึ่งพิพากษาเขา คำที่เราได้กล่าวแล้วนั้นแหละจะพิพากษาเขาในวันสุดท้าย 12:49 เพราะเรามิได้กล่าวตามใจเราเอง แต่ซึ่งเรากล่าวและพูดนั้น พระบิดาผู้ทรงใช้เรามาพระองค์นั้นได้ทรงบัญชาให้แก่เรา 12:50 เรารู้ว่าพระบัญชาของพระองค์นั้นเป็นชีวิตนิรันดร์ เหตุฉะนั้นสิ่งที่เราพูดนั้น เราก็พูดตามที่พระบิดาทรงบัญชาเรา "
13:1 ก่อนถึงงานเทศกาลปัสกา พระเยซูทรงทราบว่า ถึงเวลาแล้วที่พระองค์จะทรงจากโลกนี้ไปหาพระบิดา พระองค์ทรงรักพวกของพระองค์ซึ่งอยู่ในโลกนี้ พระองค์ทรงรักเขาจนถึงที่สุด 13:2 ขณะเมื่อรับประทานอาหารเย็นอยู่นั้น ( มารได้ดลใจยูดาสอิสคาริโอท บุตรของซีโมน ให้อายัดพระองค์ไว้ ) 13:3 พระเยซูทรงทราบว่าพระบิดาได้ประทานสิ่งทั้งปวงให้อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ และทรงทราบว่าพระองค์มาจากพระเจ้า และจะไปหาพระเจ้า 13:4 พระองค์ทรงลุกขึ้นจากการรับประทานอาหาร ทรงถอดฉลองพระองค์ออกวางไว้ และทรงเอาผ้าเช็ดตัวคาดเอวของพระองค์ 13:5 แล้วก็ทรงเทน้ำลงในอ่าง และทรงเอาน้ำล้างเท้าของพวกสาวก และเช็ดด้วยผ้าที่ทรงคาดเอวไว้นั้น 13:6 พระองค์ทรงมาถึงซีโมนเปโตร และเปโตรทูลพระองค์ว่า " พระองค์เจ้าข้า พระองค์จะทรงล้างเท้าของข้าพระองค์หรือ " 13:7 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า " สิ่งที่เรากระทำในขณะนี้ท่านยังไม่รู้เรื่อง แต่ภายหลังท่านจะเข้าใจ " 13:8 เปโตรทูลพระองค์ว่า " พระองค์จะทรงล้างเท้าของข้าพระองค์ไม่ได้ " พระเยซูตรัสตอบเขาว่า " ถ้าเราไม่ล้างท่านแล้ว ท่านจะมีส่วนในเราไม่ได้ " 13:9 ซีโมนเปโตรทูลพระองค์ว่า " พระองค์เจ้าข้ามิใช่แต่เท้าของข้าพระองค์เท่านั้น แต่ขอทรงโปรดล้างทั้งมือและศีรษะด้วย " 13:10 พระเยซูตรัสกับเขาว่า " ผู้ที่อาบน้ำแล้วไม่จำเป็นต้องชำระกายอีก ล้างแต่เท้าเท่านั้น เพราะสะอาดหมดทั้งตัวแล้ว พวกท่านก็สะอาดแล้วแต่ไม่ใช่ทุกคน " 13:11 เพราะพระองค์ทรงทราบว่าใครจะอายัดพระองค์ไว้ เหตุฉะนั้นพระองค์จึงตรัสว่า " ท่านทั้งหลายไม่สะอาดทุกคน " 13:12 เมื่อพระองค์ทรงล้างเท้าเขาทั้งหลายแล้ว พระองค์ก็ทรงฉลองพระองค์ และประทับลงตรัสกับเขาว่า " ท่านทั้งหลายเข้าใจ ในสิ่งที่เราได้กระทำแก่ท่านหรือ 13:13 ท่านทั้งหลายเรียกเราว่าพระอาจารย์และองค์พระผู้เป็นเจ้า ท่านเรียกถูกแล้ว เพราะเราเป็นเช่นนั้น 13:14 ฉะนั้นถ้าเราผู้เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และพระอาจารย์ของท่านได้ล้างเท้าของพวกท่าน พวกท่านก็ควรจะล้างเท้าของกันและกันด้วย 13:15 เพราะว่าเราได้วางแบบแก่ท่านแล้ว เพื่อให้ท่านทำเหมือนดังที่เราได้กระทำแก่ท่านด้วย 13:16 เราบอกความจริงแก่ท่านว่า บ่าวจะเป็นใหญ่กว่านายก็ไม่ได้ และทูตจะเป็นใหญ่กว่าผู้ที่ใช้เขาไปก็หามิได้ 13:17 เมื่อท่านรู้ดังนี้แล้วและท่านประพฤติตาม ท่านก็เป็นสุข 13:18 เรามิได้พูดถึงพวกท่านสิ้นทุกคน เรารู้จักผู้ที่เราได้เลือกไว้แล้ว แต่จะต้องเป็นจริงตามข้อพระคัมภีร์ที่ว่า " ผู้ที่รับประทานอาหารของเราได้ยกส้นเท้าใส่เรา " 13:19 เราบอกท่านทั้งหลายเดี๋ยวนี้ก่อนที่เรื่องนี้จะเกิดขึ้น เพื่อว่าเมื่อเรื่องนี้เกิดขึ้นแล้วท่านจะได้เชื่อว่าเราคือผู้นั้น 13:20 เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ผู้ใดได้รับผู้ที่เราใช้ไป ผู้นั้นก็รับเราด้วย และผู้ใดได้รับเรา ผู้นั้นได้รับพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา " 13:21 เมื่อพระเยซูตรัสดังนั้นแล้วพระองค์ก็ทรงเป็นทุกข์ในพระทัย และตรัสเป็นพยานว่า " เราบอกความจริงแก่ท่านว่า คนหนึ่งในพวกท่านจะอายัดเราไว้ " 13:22 เหล่าสาวกจึงมองหน้ากัน และสงสัยว่าคนที่พระองค์ตรัสถึงนั้นคือผู้ใด 13:23 ที่สำรับมีสาวกคนหนึ่งที่พระองค์ทรงรัก ได้เอนกายอยู่ใกล้พระทรวงของพระองค์ 13:24 ซีโมนเปโตรจึงพยักหน้าให้เขาทูลถามพระองค์ว่า คนที่พระองค์ตรัสถึงนั้นคือผู้ใด 13:25 ขณะที่ยังเอนกายอยู่ใกล้พระทรวงของพระองค์ สาวกคนนั้นก็ทูลถามพระองค์ว่า " พระองค์เจ้าข้า คนนั้นคือใคร " 13:26 พระองค์ตรัสตอบว่า " คนนั้นคือผู้ที่เราจะเอาอาหารนี้จิ้มแล้วยื่นให้ " เมื่อพระองค์ทรงเอาอาหารนั้นจิ้มแล้วก็ทรงยื่นให้แก่ยูดาสบุตรซีโมนอิสคาริโอท 13:27 เมื่อยูดาสรับประทานอาหารนั้นแล้ว ซาตาน { ชื่อหนึ่งของมาร หมายความว่า ผู้ขัดขวาง ( ปฏิปักษ์ )} ก็เข้าสิงในใจเขา พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า " ท่านจะทำอะไร ก็จงทำเร็วๆเถิด " 13:28 ไม่มีผู้ใดในบรรดาผู้ที่เอนกายร่วมสำรับเข้าใจว่า เหตุใดพระองค์จึงตรัสกับเขาเช่นนั้น 13:29 บางคนคิดว่า เพราะยูดาสถือกล่องเก็บเงินพระองค์จึงตรัสบอกเขาว่า " จงไปซื้อสิ่งที่เราต้องการสำหรับงานเทศกาลนี้ " หรือตรัสบอกเขาว่า เขาควรจะให้ทานแก่คนจนบ้าง 13:30 ดังนั้นเมื่อยูดาสรับอาหารชิ้นนั้นแล้วเขาก็ออกไปทันที ขณะนั้นเป็นเวลากลางคืน 13:31 เมื่อเขาออกไปแล้ว พระเยซูจึงตรัสว่า " บัดนี้บุตรมนุษย์ได้รับเกียรติแล้ว และพระเจ้าทรงได้รับเกียรติเพราะบุตรมนุษย์ 13:32 ถ้าพระเจ้าได้รับเกียรติเพราะพระองค์ท่าน พระเจ้าก็จะทรงประทานให้พระองค์ท่านมีเกียรติในพระองค์ท่านเอง และพระเจ้าจะทรงให้มีเกียรติเดี๋ยวนี้ 13:33 ลูกเอ๋ย เรายังจะอยู่กับเจ้าทั้งหลาย อีกขณะหนึ่งเจ้าจะเสาะหาเรา และดังที่เราได้พูดกับพวกยิวแล้ว บัดนี้เราจะพูดกับเจ้าคือ " ที่เราไปนั้นเจ้าทั้งหลายไปไม่ได้ " 13:34 เราให้บัญญัติใหม่ไว้แก่เจ้าทั้งหลาย คือให้เจ้ารักซึ่งกันและกัน เรารักเจ้าทั้งหลายมาแล้วอย่างไร เจ้าจงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น 13:35 ถ้าเจ้าทั้งหลายรักกันและกัน ดังนี้แหละคนทั้งปวงก็จะรู้ได้ว่าเจ้าทั้งหลายเป็นสาวกของเรา " 13:36 ซีโมนเปโตร ทูลพระองค์ว่า " พระองค์เจ้าข้า พระองค์จะเสด็จไปที่ไหน " พระเยซูตรัสตอบว่า " ที่ซึ่งเราจะไปนั้น ท่านจะตามเราไปเดี๋ยวนี้ไม่ได้แต่ภายหลังท่านจะตามไป " 13:37 เปโตรทูลพระองค์ว่า " พระองค์เจ้าข้า เหตุใดข้าพระองค์จึงตามพระองค์ไปเดี๋ยวนี้ไม่ได้ ข้าพระองค์จะสละชีวิตเพื่อพระองค์ " 13:38 พระเยซูตรัสตอบว่า " ท่านจะสละชีวิตของท่านเพื่อเราหรือ เราบอกความจริงแก่ท่านว่าก่อนไก่ขันท่านจะปฏิเสธเราสามครั้ง "
14:1 " อย่าให้ใจท่านทั้งหลายวิตกเลย ท่านวางใจในพระเจ้า { หรือ จงวางใจในพระเจ้า } จงวางใจในเราด้วย 14:2 ในพระนิเวศของพระบิดาเรามีที่อยู่เป็นอันมาก ถ้าไม่มีเราคงได้บอกท่านแล้ว เพราะเราไปจัดเตรียมที่ไว้สำหรับท่านทั้งหลาย 14:3 เมื่อเราไปจัดเตรียมที่ไว้สำหรับท่านแล้ว เราจะกลับมาอีกรับท่านไปอยู่กับเรา เพื่อว่าเราอยู่ที่ไหนท่านทั้งหลายจะได้อยู่ที่นั่นด้วย 14:4 และท่านรู้จักทางที่เราจะไปนั้น " 14:5 โธมัสทูลพระองค์ว่า " พระองค์เจ้าข้า พวกข้าพระองค์ไม่ทราบว่าพระองค์จะเสด็จไปที่ไหน พวกข้าพระองค์จะรู้จักทางนั้นได้อย่างไร " 14:6 พระเยซูตรัสกับเขาว่า " เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา 14:7 ถ้าท่านทั้งหลายรู้จักเราแล้ว ท่านก็จะรู้จักพระบิดาของเราด้วย ตั้งแต่นี้ไปท่านก็จะรู้จักพระองค์และได้เห็นพระองค์ " 14:8 ฟีลิปทูลพระองค์ว่า " พระองค์เจ้าข้า ขอสำแดงพระบิดาให้ข้าพระองค์ทั้งหลายได้เห็น ก็พอใจข้าพระองค์แล้ว " 14:9 พระเยซูตรัสกับเขาว่า " ฟีลิปเอ๋ย เราได้อยู่กับท่านนานถึงเพียงนี้และท่านยังไม่รู้จักเราอีกหรือ ผู้ที่ได้เห็นเราก็ได้เห็นพระบิดา ท่านจะพูดได้อย่างไรอีกว่า " ขอสำแดงพระบิดาให้ข้าพระองค์ทั้งหลายเห็น " 14:10 ท่านไม่เชื่อหรือว่า เราอยู่ในพระบิดาและพระบิดาทรงอยู่ในเรา คำซึ่งเรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายนั้น เรามิได้กล่าวตามใจชอบ แต่พระบิดาผู้ทรงสถิตอยู่ในเรา ได้ทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์ 14:11 จงเชื่อเราเถิดว่า เราอยู่ในพระบิดาและพระบิดาทรงอยู่ในเรา หรือมิฉะนั้นก็จงเชื่อเพราะกิจการเหล่านั้นเถิด 14:12 " เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ที่วางใจในเราจะกระทำกิจการซึ่งเราได้กระทำนั้นด้วย และเขาจะกระทำกิจที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นอีก เพราะว่าเราจะไปถึงพระบิดาของเรา 14:13 สิ่งใดที่ท่านทั้งหลายจะขอในนามของเรา เราจะกระทำสิ่งนั้น เพื่อว่าพระบิดาจะทรงได้รับเกียรติอันยิ่งใหญ่ทางพระบุตร 14:14 สิ่งใดที่ท่านขอในนามของเราเราจะกระทำสิ่งนั้น 14:15 " ถ้าท่านทั้งหลายรักเรา ท่านก็จะประพฤติตามบัญญัติของเรา 14:16 เราจะทูลขอพระบิดา และพระองค์จะประทานผู้ช่วยอีกผู้หนึ่งให้แก่ท่าน เพื่อจะได้อยู่กับท่านตลอดไป 14:17 คือพระวิญญาณแห่งความจริง ซึ่งโลกรับไว้ไม่ได้ เพราะแลไม่เห็นและไม่รู้จักพระองค์ ท่านทั้งหลายรู้จักพระองค์ เพราะพระองค์ทรงสถิตอยู่กับท่าน และจะประทับอยู่ในท่าน 14:18 " เราจะไม่ละทิ้งท่านทั้งหลายไว้ให้เปล่าเปลี่ยว เราจะมาหาท่าน 14:19 อีกหน่อยหนึ่งโลกก็จะไม่เห็นเรา แต่ท่านทั้งหลายจะเห็นเรา เพราะเราดำรงอยู่ ท่านทั้งหลายก็จะดำรงอยู่ด้วย 14:20 ในวันนั้นท่านทั้งหลายจะรู้ว่าเราอยู่ในพระบิดา และท่านอยู่ในเราและเราอยู่ในท่าน 14:21 ผู้ใดที่มีบัญญัติของเรา และประพฤติตามบัญญัตินั้น ผู้นั้นแหละเป็นผู้ที่รักเรา และผู้ที่รักเรานั้นพระบิดาของเราจะทรงรักเขา และเราจะรักเขา และจะสำแดงตัวให้ปรากฏแก่เขา " 14:22 ยูดาส ( มิใช่อิสคาริโอท ) ทูลพระองค์ว่า " พระองค์เจ้าข้า เหตุใดพระองค์จึงจะสำแดงพระองค์แก่พวกข้าพระองค์ แต่ไม่ทรงสำแดงแก่โลก " 14:23 พระองค์ตรัสตอบเขาว่า " ถ้าผู้ใดรักเรา ผู้นั้นจะประพฤติตามคำของเรา และพระบิดาจะทรงรักเขา แล้วพระบิดากับเราจะมาหาเขา และจะอยู่กับเขา 14:24 ผู้ที่ไม่รักเรา ก็ไม่ประพฤติตามคำของเรา และคำซึ่งท่านได้ยินนี้ไม่ใช่คำของเรา แต่เป็นพระวจนะของพระบิดาผู้ทรงใช้เรามา 14:25 " เราได้กล่าวคำเหล่านี้แก่ท่านทั้งหลาย เมื่อเรายังอยู่กับท่าน 14:26 แต่องค์ผู้ช่วยคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งพระบิดาจะทรงใช้มาในนามของเรานั้น จะทรงสอนท่านทั้งหลายทุกสิ่ง และจะให้ท่านระลึกถึงทุกสิ่งที่เราได้กล่าวไว้แก่ท่านแล้ว 14:27 เรามอบสันติสุขไว้ให้แก่ท่านทั้งหลาย สันติสุขของเราที่ให้แก่ท่านนั้น เราให้ท่านไม่เหมือนโลกให้ อย่าให้ใจของท่านวิตก และอย่ากลัวเลย 14:28 ท่านได้ยินเรากล่าวแก่ท่านว่า " เราจะจากไปและจะกลับมาหาท่าน " ถ้าท่านรักเรา ท่านก็จะชื่นชมยินดีที่เราไปหาพระบิดา เพราะพระบิดาทรงเป็นใหญ่กว่าเรา 14:29 และบัดนี้เราได้บอกท่านทั้งหลาย ก่อนที่เหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้น เพื่อว่าเมื่อเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นแล้ว ท่านทั้งหลายจะได้เชื่อ 14:30 แต่นี้ไปเราจะไม่สนทนากับท่านทั้งหลายนานเช่นนี้อีก เพราะว่าเจ้าโลกจะมา ผู้นั้นไม่มีสิทธิอำนาจอะไรเหนือเรา 14:31 แต่เราได้กระทำตามที่พระบิดาได้ทรงบัญชาเรา เพื่อโลกจะได้รู้ว่าเรารักพระบิดา จงลุกขึ้น ให้เราทั้งหลายไปกันเถิด
15:1 " เราเป็นเถาองุ่นแท้ และพระบิดาของเราทรงเป็นผู้ดูแลรักษา 15:2 แขนงทุกแขนงในเรา ที่ไม่ออกผลพระองค์ก็ทรงตัดทิ้งเสีย และแขนงทุกแขนงที่ออกผล พระองค์ก็ทรงลิดเพื่อให้ออกผลมากขึ้น 15:3 ท่านทั้งหลายได้รับการชำระให้สะอาดแล้วด้วยถ้อยคำที่เราได้กล่าวแก่ท่าน 15:4 จงเข้าสนิทอยู่ในเรา และเราเข้าสนิทอยู่ในท่าน แขนงจะออกผลเองไม่ได้ นอกจากจะติดอยู่กับเถาฉันใด ท่านทั้งหลายก็จะเกิดผลไม่ได้ นอกจากจะเข้าสนิทอยู่ในเราฉันนั้น 15:5 เราเป็นเถาองุ่น ท่านทั้งหลายเป็นแขนง ผู้ที่เข้าสนิทอยู่ในเราและเราเข้าสนิทอยู่ในเขา ผู้นั้นก็จะเกิดผลมาก เพราะถ้าแยกจากเราแล้วท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย 15:6 ถ้าผู้ใดมิได้เข้าสนิทอยู่ในเรา ผู้นั้นก็ต้องถูกตัดทิ้งเสียเหมือนแขนง แล้วก็เหี่ยวแห้งไป และถูกเก็บเอาไปเผาไฟ 15:7 ถ้าท่านทั้งหลายเข้าสนิทอยู่ในเรา และถ้อยคำของเราฝังอยู่ในท่านแล้ว ท่านจะขอสิ่งใด ซึ่งท่านปรารถนาก็จะได้สิ่งนั้น 15:8 พระบิดาของเราทรงได้รับเกียรติเพราะเหตุนี้คือเมื่อท่านทั้งหลายเกิดผลมาก ท่านก็เป็นสาวกของเรา 15:9 พระบิดาทรงรักเราฉันใด เราก็รักท่านทั้งหลายฉันนั้น จงยึดมั่นอยู่ในความรักของเรา 15:10 ถ้าท่านทั้งหลายประพฤติตามบัญญัติของเรา ท่านก็จะยึดมั่นอยู่ในความรักของเรา เหมือนดังที่เราประพฤติตามพระบัญญัติของพระบิดา และยึดมั่นอยู่ในความรักของพระองค์ 15:11 นี่คือสิ่งที่เราได้บอกแก่ท่านทั้งหลายแล้ว เพื่อให้ความยินดีของเรา ดำรงอยู่ในท่านและให้ความยินดีของท่านเต็มเปี่ยม 15:12 " พระบัญญัติของเรา คือให้ท่านทั้งหลายรักกัน เหมือนดังที่เราได้รักท่าน 15:13 ไม่มีผู้ใดมีความรักที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ คือการที่ผู้หนึ่งผู้ใดจะสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหายของตน 15:14 ถ้าท่านทั้งหลายประพฤติตามที่เราสั่งท่าน ท่านก็จะเป็นมิตรสหายของเรา 15:15 เราจะไม่เรียกท่านทั้งหลายว่าบ่าวอีก เพราะบ่าวไม่ทราบว่านายทำอะไร แต่เราเรียกท่านว่ามิตรสหาย เพราะว่าทุกสิ่งที่เราได้ยินจากพระบิดาของเรา เราได้สำแดงแก่ท่านแล้ว 15:16 ท่านทั้งหลายไม่ได้เลือกเรา แต่เราได้เลือกท่านทั้งหลาย และได้แต่งตั้งท่านทั้งหลายไว้ให้ท่านไปเกิดผล และเพื่อให้ผลของท่านคงอยู่ เพื่อว่าเมื่อท่านทูลขอสิ่งใดจากพระบิดาในนามของเรา พระองค์จะได้ประทานสิ่งนั้นให้แก่ท่าน 15:17 สิ่งที่เราสั่งท่านทั้งหลายไว้ก็คือ ท่านจงรักกันและกัน 15:18 " ถ้าโลกนี้เกลียดชังท่านทั้งหลาย ก็จงรู้ว่าโลกได้เกลียดชังเราก่อน 15:19 ถ้าท่านทั้งหลายเป็นของโลก โลกก็จะรักท่านซึ่งเป็นของโลก แต่เพราะท่านไม่ใช่ของโลก เพราะเราได้เลือกท่านออกจากโลก เหตุฉะนั้นโลกจึงเกลียดชังท่าน 15:20 จงระลึกถึงคำที่เราได้กล่าวแก่ท่านทั้งหลายแล้วว่า " บ่าวมิได้เป็นใหญ่กว่านาย " ถ้าเขาข่มเหงเรา เขาก็จะข่มเหงท่านทั้งหลายด้วย ถ้าเขาปฏิบัติตามคำของเรา เขาก็จะปฏิบัติตามคำของท่านทั้งหลายด้วย 15:21 แต่ทุกสิ่งที่เขาจะกระทำแก่พวกท่านนั้นก็เพราะนามของเรา เพราะเขาไม่รู้จักพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา 15:22 ถ้าเราไม่ได้มาสั่งสอนเขา เขาก็คงจะไม่มีบาป แต่บัดนี้ เขาไม่มีข้อแก้ตัวในเรื่องบาปของเขา 15:23 ผู้ที่เกลียดชังเรา ก็เกลียดชังพระบิดาของเราด้วย 15:24 ถ้าณท่ามกลางพวกเขา เรามิได้กระทำสิ่งซึ่งไม่มีผู้อื่นได้กระทำเลย พวกเขาก็จะไม่มีบาป แต่เดี๋ยวนี้เขาก็ได้เห็น และเกลียดชังทั้งตัวเราและพระบิดาของเรา 15:25 ทั้งนี้ก็เพื่อจะได้เป็นจริงตามที่เขียนไว้ในพระธรรมของเขาที่ว่า เขาได้เกลียดชังเราโดยไม่มีสาเหตุ 15:26 แต่เมื่อองค์พระผู้ช่วยที่เราจะใช้มาจากพระบิดาหาท่านทั้งหลาย คือพระวิญญาณแห่งความจริงผู้ทรงมาจากพระบิดานั้นได้เสด็จมาแล้ว พระองค์ก็จะทรงเป็นพยานให้แก่เรา 15:27 และท่านทั้งหลายก็จะเป็นพยานด้วย เพราะว่าท่านได้อยู่กับเราตั้งแต่แรกแล้ว
16:1 " เราบอกสิ่งเหล่านี้แก่ท่านทั้งหลาย ก็เพื่อไม่ให้ท่านท้อถอย 16:2 เขาจะอเปหิท่านเสียจากธรรมศาลา แท้จริงวันหนึ่งทุกคนที่ประหารชีวิตของท่าน จะคิดว่าเขาทำการนั้นเป็นการปฏิบัติพระเจ้า 16:3 เขาจะกระทำดังนั้นเพราะเขาไม่รู้จักพระบิดา และไม่รู้จักเรา 16:4 แต่ที่เราบอกสิ่งเหล่านี้ให้ท่านฟังก็เพื่อว่าเมื่อถึงเวลานั้น ท่านจะได้ระลึกว่าเราได้บอกท่านไว้แล้ว " เรามิได้บอกเรื่องนี้แก่ท่านทั้งหลายแต่แรก เพราะว่าเรายังอยู่กับท่าน 16:5 แต่บัดนี้เรากำลังจะไปหาพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา และไม่มีใครในพวกท่านถามเราว่า " พระองค์จะเสด็จไปที่ไหน " 16:6 แต่เพราะเราได้บอกเรื่องนี้แก่พวกท่าน จิตใจของท่านจึงมีแต่ความทุกข์โศก 16:7 อย่างไรก็ตามเราจะบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลาย คือการที่เราจากไปนั้นก็เพื่อประโยชน์ของท่าน เพราะถ้าเราไม่ไป องค์พระผู้ช่วยก็จะไม่เสด็จมาหาท่าน แต่ถ้าเราไปแล้ว เราก็จะใช้พระองค์มาหาท่าน 16:8 เมื่อพระองค์นั้นเสด็จมาแล้ว พระองค์จะทรงกระทำให้โลกรู้แจ้งในเรื่องความผิด ความชอบธรรม และการพิพากษา 16:9 ในเรื่องความผิดนั้น คือเพราะเขาไม่วางใจในเรา 16:10 ในเรื่องความชอบธรรมนั้น คือเพราะเราไปหาพระบิดา และท่านทั้งหลายจะไม่เห็นเราอีก 16:11 ในเรื่องการพิพากษานั้น คือ เพราะเจ้าโลกนี้ถูกพิพากษาแล้ว 16:12 " เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกแก่ท่านทั้งหลาย แต่เดี๋ยวนี้ท่านยังรับไว้ไม่ได้ 16:13 เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงจะเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำท่านทั้งหลายไปสู่ความจริงทั้งมวล เพราะพระองค์จะไม่ตรัสโดยพลการ แต่พระองค์จะตรัส สิ่งที่พระองค์ทรงได้ยิน และพระองค์จะทรงแจ้งให้ท่านทั้งหลายรู้ถึงสิ่งเหล่านั้นที่จะเกิดขึ้น 16:14 พระองค์จะทรงให้เราได้รับเกียรติ เพราะว่าพระองค์จะทรงเอาสิ่งที่เป็นของเรามาสำแดงแก่ท่านทั้งหลาย 16:15 ทุกสิ่งที่พระบิดาทรงมีนั้นเป็นของเรา เหตุฉะนั้นเราจึงกล่าวว่า พระวิญญาณทรงเอาสิ่งซึ่งเป็นของเรานั้น มาสำแดงแก่ท่านทั้งหลาย 16:16 " อีกหน่อยท่านทั้งหลายก็จะไม่เห็นเรา และต่อไปอีกหน่อยท่านก็จะเห็นเรา " 16:17 สาวกบางคนของพระองค์พูดกันว่า " ที่พระองค์ตรัสกับเราว่า " อีกหน่อยท่านทั้งหลายก็จะไม่เห็นเรา และต่อไปอีกหน่อยท่านก็จะเห็นเรา " และ " เพราะเราไปถึงพระบิดา " เหล่านี้หมายความว่าอะไร " 16:18 เขาพูดกันว่า "' อีกหน่อย ' นั้นหมายความว่าอะไร เราไม่ทราบว่า ' อีกหน่อย ' ที่พระองค์ตรัสนั้น หมายความว่าอะไร " 16:19 พระเยซูทรงทราบว่า เขาอยากทูลถามพระองค์ พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า " ท่านทั้งหลายถามกันอยู่หรือว่า เราหมายความว่าอะไรที่พูดว่า " อีกหน่อยท่านก็จะไม่เห็นเรา และต่อไปอีกหน่อยท่านก็จะเห็นเรา " 16:20 เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านจะร้องไห้และคร่ำครวญ แต่โลกจะชื่นชมยินดี ท่านทั้งหลายจะทุกข์โศก แต่ความทุกข์โศกของท่านจะกลับกลายเป็นความชื่นชมยินดี 16:21 เมื่อผู้หญิงจะคลอดบุตรนางก็มีแต่ความทุกข์ เพราะถึงกำหนดแล้ว แต่เมื่อคลอดบุตรแล้ว นางก็ไม่คิดถึงความเจ็บปวดนั้นเลย เพราะมีความชื่นชมยินดี ที่คนหนึ่งเกิดมาในโลก 16:22 ฉันใดก็ดี ขณะนี้ท่านทั้งหลายมีความทุกข์ แต่เราจะมาหาท่านอีก และใจท่านจะชื่นชมยินดี และไม่มีผู้ใดจะช่วงชิงความชื่นชมยินดีไปจากท่านได้ 16:23 ในวันนั้นท่านจะไม่ถามอะไรเราอีก เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าท่านขอสิ่งใดจากพระบิดา พระองค์จะประทานสิ่งนั้นให้แก่ท่านในนามของเรา 16:24 แม้จนบัดนี้ท่านยังไม่ได้ขอสิ่งใดในนามของเรา จงขอเถิดแล้วจะได้ เพื่อความชื่นชมยินดีของท่านจะมีเต็มเปี่ยม 16:25 " เราพูดเรื่องนี้กับท่านเป็นคำอรรถ วันหนึ่งเราจะไม่พูดกับท่านเป็นคำอรรถอีก แต่จะบอกท่านถึงเรื่องพระบิดาอย่างแจ่มแจ้ง 16:26 ในวันนั้นพวกท่านจะทูลขอในนามของเรา และเราจะไม่บอกท่านว่า เราจะอ้อนวอนพระบิดาเพื่อท่าน 16:27 เพราะว่าพระบิดาเองก็ทรงรักท่านทั้งหลาย เพราะท่านรักเราและเชื่อว่าเรามาจากพระบิดา 16:28 เรามาจากพระบิดาและได้เข้ามาในโลกแล้ว เราจะจากโลกนี้ไปถึงพระบิดาอีก " 16:29 เหล่าสาวกของพระองค์ ทูลว่า " นี่แน่ะ บัดนี้พระองค์ตรัสอย่างแจ่มแจ้งแล้ว มิได้ตรัสเป็นคำอรรถ 16:30 เดี๋ยวนี้พวกข้าพระองค์รู้แน่ว่า พระองค์ทรงทราบทุกสิ่ง และไม่จำเป็นที่ผู้ใดจะทูลถามพระองค์อีก ด้วยเหตุนี้ข้าพระองค์เชื่อว่าพระองค์ทรงมาจากพระเจ้า " 16:31 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า " เดี๋ยวนี้ท่านทั้งหลายเชื่อแล้วหรือ 16:32 ดูเถิด เวลาจะมา และเวลานั้นก็ถึงแล้ว ที่ท่านจะต้องกระจัดกระจายไปยังที่อยู่ของท่านทุกคน และจะทิ้งเราไว้แต่ผู้เดียว แต่เราหาได้อยู่ผู้เดียวไม่ เพราะพระบิดาทรงสถิตอยู่กับเรา 16:33 เราได้บอกเรื่องนี้แก่ท่าน เพื่อท่านจะได้มีสันติสุขในเรา ในโลกนี้ท่านจะประสบความทุกข์ยาก แต่จงชื่นใจเถิด เพราะว่าเราได้ชนะโลกแล้ว "
17:1 เมื่อพระเยซูตรัสดังนั้นแล้ว พระองค์ก็ทรงแหงนพระพักตร์ขึ้นดูฟ้าและตรัสว่า " พระบิดาเจ้าข้า ถึงเวลาแล้ว ขอทรงโปรดให้พระบุตรของพระองค์ได้รับเกียรติ เพื่อพระบุตรจะได้ถวายเกียรติแด่พระองค์ 17:2 ดังที่พระองค์ได้ทรงโปรดให้พระบุตรมีอำนาจเหนือมนุษย์ทั้งสิ้น เพื่อให้พระบุตรประทานชีวิตนิรันดร์แก่คนที่พระองค์ทรงมอบแก่พระบุตรนั้น 17:3 และนี่แหละคือชีวิตนิรันดร์ คือที่เขารู้จักพระองค์ ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว และรู้จักพระเยซูคริสต์ที่พระองค์ทรงใช้มา 17:4 ข้าพระองค์ได้ถวายเกียรติแด่พระองค์ในโลก เพราะข้าพระองค์ได้กระทำกิจที่พระองค์ทรงให้ข้าพระองค์กระทำนั้นสำเร็จแล้ว 17:5 บัดนี้พระบิดาเจ้าข้า ขอทรงโปรดให้ข้าพระองค์ได้รับเกียรติต่อพระพักตร์ของพระองค์ คือเกียรติซึ่งข้าพระองค์ได้มีร่วมกับพระองค์ก่อนที่โลกนี้มีมา 17:6 " ข้าพระองค์ได้สำแดงพระนามของพระองค์ แก่คนทั้งหลายที่พระองค์ได้ประทานให้แก่ข้าพระองค์จากมวลมนุษย์โลก คนเหล่านั้นเป็นของพระองค์แล้ว และพระองค์ได้ประทานเขาให้แก่ข้าพระองค์ และเขาได้ปฏิบัติตามพระดำรัสของพระองค์แล้ว 17:7 บัดนี้เขาทั้งหลายรู้ว่า ทุกสิ่งที่พระองค์ได้ประทานแก่ข้าพระองค์นั้นมาจากพระองค์ 17:8 เพราะว่าพระดำรัสที่พระองค์ตรัสประทานให้แก่ข้าพระองค์นั้น ข้าพระองค์ได้ให้เขาแล้ว และเขาได้รับไว้ และเขารู้แน่ว่าข้าพระองค์มาจากพระองค์ และเขาเชื่อแล้วว่าพระองค์ได้ทรงใช้ข้าพระองค์มา 17:9 ข้าพระองค์อธิษฐานเพื่อเขา ข้าพระองค์มิได้อธิษฐานเพื่อโลก แต่เพื่อคนเหล่านั้นที่พระองค์ได้ประทานแก่ข้าพระองค์ เพราะว่าเขาเป็นของพระองค์ 17:10 ทุกสิ่งซึ่งเป็นของข้าพระองค์ก็เป็นของพระองค์ และทุกสิ่งซึ่งเป็นของพระองค์ก็เป็นของข้าพระองค์ และข้าพระองค์มีเกียรติในสิ่งเหล่านั้น 17:11 บัดนี้ข้าพระองค์จะไม่อยู่ในโลกนี้อีกแต่พวกเขายังอยู่ในโลกนี้ และข้าพระองค์กำลังจะไปหาพระองค์ ข้าแต่พระบิดาผู้บริสุทธิ์ ขอพระองค์ทรงโปรดพิทักษ์รักษาบรรดาผู้ที่พระองค์ได้ประทานแก่ข้าพระองค์ไว้โดยพระนามของพระองค์ เพื่อเขาจะได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เหมือนดังข้าพระองค์กับพระองค์ 17:12 เมื่อข้าพระองค์ยังอยู่กับคนเหล่านั้น ข้าพระองค์ก็ได้พิทักษ์รักษาพวกเขา ผู้ซึ่งพระองค์ได้ประทานแก่ข้าพระองค์ไว้โดยพระนามของพระองค์ และข้าพระองค์ได้ปกป้องเขาไว้ และไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดเสียไปนอกจากลูกแห่งความพินาศ เพื่อให้เป็นจริงตามข้อพระธรรม 17:13 แต่บัดนี้ข้าพระองค์กำลังจะไปหาพระองค์ ข้าพระองค์กล่าวถึงสิ่งเหล่านี้ในโลก เพื่อให้เขาได้รับความชื่นชมยินดีของข้าพระองค์อย่างเต็มเปี่ยม 17:14 ข้าพระองค์ได้มอบพระดำรัสของพระองค์ให้แก่เขาแล้ว และโลกนี้ได้เกลียดชังเขา เพราะเขาไม่ใช่ของโลก เหมือนดังที่ข้าพระองค์ไม่ใช่ของโลก 17:15 ข้าพระองค์ไม่ได้ขอให้พระองค์เอาเขาออกไปจากโลก แต่ขอปกป้องเขาไว้ ให้พ้นจากมารร้าย 17:16 เขาไม่ใช่ของโลก เหมือนดังที่ข้าพระองค์ไม่ใช่ของโลก 17:17 ขอทรงโปรดชำระเขาให้บริสุทธิ์ด้วยความจริง พระวจนะของพระองค์เป็นความจริง 17:18 พระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มาในโลกฉันใด ข้าพระองค์ก็ใช้เขาไปในโลกฉันนั้น 17:19 ข้าพระองค์ชำระตัวถวายเพราะเห็นแก่เขา เพื่อให้เขารับการทรงชำระแต่งตั้งไว้โดยสัจจะด้วยเช่นกัน 17:20 " ข้าพระองค์มิได้อธิษฐานเพื่อคนเหล่านี้พวกเดียว แต่เพื่อคนทั้งปวงที่วางใจในข้าพระองค์เพราะถ้อยคำของเขา 17:21 เพื่อเขาทั้งหลายจะได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ดังที่พระองค์ คือพระบิดาทรงสถิตในข้าพระองค์ และข้าพระองค์ในพระองค์ เพื่อให้เขาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระองค์ และกับข้าพระองค์ด้วย เพื่อโลกจะได้เชื่อว่าพระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มา 17:22 เกียรติซึ่งพระองค์ได้ประทานแก่ข้าพระองค์ ข้าพระองค์ได้มอบให้แก่เขา เพื่อเขาจะได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ดังที่พระองค์กับข้าพระองค์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนั้น 17:23 ข้าพระองค์อยู่ในเขาและพระองค์ทรงอยู่ในข้าพระองค์ เพื่อเขาทั้งหลายจะได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสมบูรณ์ เพื่อโลกจะได้รู้ว่าพระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มา และพระองค์ทรงรักเขาเหมือนดังที่พระองค์ทรงรักข้าพระองค์ 17:24 พระบิดาเจ้าข้า ข้าพระองค์ปรารถนาให้คนเหล่านั้น ที่พระองค์ได้ประทานให้แก่ข้าพระองค์ อยู่กับข้าพระองค์ ในที่ซึ่งข้าพระองค์อยู่นั้น เพื่อเขาจะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของข้าพระองค์ ซึ่งพระองค์ได้ประทานแก่ข้าพระองค์ เพราะพระองค์ทรงรักข้าพระองค์ก่อนที่จะทรงสร้างโลก 17:25 ข้าแต่พระบิดาผู้ทรงธรรม โลกนี้ไม่รู้จักพระองค์ แต่ข้าพระองค์รู้จักพระองค์ และคนเหล่านี้รู้ว่า พระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มา 17:26 ข้าพระองค์ได้กระทำให้เขารู้จักพระนามของพระองค์ และจะกระทำให้เขารู้อีก เพื่อความรักที่พระองค์ได้ทรงรักข้าพระองค์ จะดำรงอยู่ในเขา ข้าพระองค์อยู่ในเขา "
18:1 เมื่อพระเยซูตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ได้เสด็จออกไปกับเหล่าสาวกของพระองค์ ข้ามห้วยขิดโรนไปยังสวนแห่งหนึ่ง พระองค์เสด็จเข้าไปในสวนนั้นกับเหล่าสาวก 18:2 ยูดาสผู้ที่จะอายัดพระองค์ก็รู้จักสวนนั้นด้วย เพราะว่าพระเยซูกับเหล่าสาวกเคยมาพบกันที่นั่นบ่อยๆ 18:3 ยูดาสก็พาพวกทหารกับเจ้าหน้าที่มาจากพวกปุโรหิตและพวกฟาริสีถือโคมถือไต้ และเครื่องอาวุธไปที่นั่นด้วย 18:4 พระเยซูทรงทราบทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับพระองค์ พระองค์จึงเสด็จออกไปถามเขาว่า " ท่านทั้งหลายมาหาใคร " 18:5 เขาทูลตอบพระองค์ว่า " มาหาเยซูชาวนาซาเร็ธ " พระเยซูตรัสกับเขาว่า " เราคือผู้นั้นแหละ " ยูดาสผู้อายัดพระองค์ก็ยืนอยู่กับคนเหล่านั้น 18:6 เมื่อพระองค์ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า " เราคือผู้นั้นแหละ " เขาทั้งหลายได้ถอยหลังและล้มลงที่ดิน 18:7 พระองค์ตรัสถามเขาอีกว่า " ท่านมาหาใคร " เขาทูลตอบว่า " มาหาเยซู ชาวนาซาเร็ธ " 18:8 พระเยซูตรัสตอบว่า " เราบอกท่านแล้วว่าเราคือผู้นั้น ถ้าท่านแสวงหาเราก็จงปล่อยคนเหล่านี้ไปเถิด " 18:9 ทั้งนี้ก็เพื่อให้เป็นจริงตามพระดำรัสซึ่งพระองค์ตรัสว่า " คนเหล่านั้นซึ่งพระองค์ได้ประทานแก่ข้าพระองค์ ไม่ได้เสียไปสักคนเดียว " 18:10 ซีโมนเปโตรมีดาบจึงชักออก ฟันทาสคนหนึ่งของมหาปุโรหิตผู้ประจำการถูกหูข้างขวาขาดไป ทาสคนนั้นชื่อมัลคัส 18:11 พระเยซูตรัสกับเปโตรว่า " จงเอาดาบใส่ฝักเสีย เราจะไม่ดื่มถ้วย ซึ่งพระบิดาของเราประทานแก่เราหรือ " 18:12 พวกพลทหารกับนายทหารและเจ้าหน้าที่ของพวกยิว จึงจับพระเยซูมัดไว้ 18:13 แล้วพาพระองค์ไปหาอันนาสก่อน เพราะอันนาสเป็นพ่อตาของคายาฟาสผู้ซึ่งเป็นมหาปุโรหิตประจำการในปีนั้น 18:14 คายาฟาสผู้นี้แหละที่แนะนำพวกยิวว่า ควรให้คนหนึ่งตายแทนพลเมืองทั้งหมด 18:15 ซีโมนเปโตร กับสาวกอีกคนหนึ่งได้ติดตามพระเยซูไป สาวกคนนั้นรู้จักกับมหาปุโรหิตผู้ประจำการ เขาได้เข้าไปกับพระเยซูถึงลานบ้านของมหาปุโรหิต 18:16 แต่เปโตรยืนอยู่ข้างนอกริมประตู สาวกอีกคนหนึ่งนั้นที่รู้จักกับมหาปุโรหิตได้ออกไปพูดกับหญิงที่เฝ้าประตู แล้วก็พาเปโตรเข้าไป 18:17 ผู้หญิงคนที่เฝ้าประตูถามเปโตรว่า " ท่านเป็นพวกสาวกของคนนั้นด้วยหรือ " เขาตอบว่า " ไม่เป็น " 18:18 พวกบ่าวกับเจ้าหน้าที่ก็ยืนอยู่ที่นั่น เอาถ่านมาก่อไฟเพราะอากาศหนาว แล้วก็ยืนผิงไฟกัน เปโตรก็ยืนผิงไฟอยู่กับเขาด้วย 18:19 มหาปุโรหิตก็ได้ถามพระเยซูถึงเหล่าสาวกของพระองค์ และคำสอนของพระองค์ 18:20 พระเยซูตรัสตอบท่านว่า " เราได้กล่าวให้โลกฟังโดยเปิดเผย เราสั่งสอนเสมอทั้งในธรรมศาลา และในบริเวณพระวิหาร ที่พวกยิวเคยชุมนุมกัน เราไม่ได้สอนสิ่งใดอย่างลับๆเลย 18:21 ท่านถามเราทำไม จงถามผู้ที่ได้ฟังเราว่า เราได้พูดอะไรกับเขา เขารู้ว่าเราสอนอะไร " 18:22 เมื่อพระองค์ตรัสดังนั้นแล้ว เจ้าหน้าที่คนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ที่นั่นได้ตบพระพักตร์พระเยซูแล้วพูดว่า " เจ้าตอบมหาปุโรหิตอย่างนั้นหรือ " 18:23 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า " ถ้าเราพูดผิดจงเป็นพยานในสิ่งที่ผิดนั้น แต่ถ้าเราพูดถูกท่านตบเราทำไม " 18:24 อันนาสจึงให้พาพระเยซูซึ่งถูกมัดอยู่ไปหาคายาฟาส ผู้เป็นมหาปุโรหิตประจำการ 18:25 ขณะนั้นซีโมนเปโตรกำลังยืนผิงไฟอยู่ คนเหล่านั้นถามเปโตรว่า " เจ้าเป็นสาวกของคนนั้นด้วยหรือ " เปโตรปฏิเสธว่า " ไม่เป็น " 18:26 ทาสคนหนึ่งของมหาปุโรหิตซึ่งเป็นญาติกับคนที่เปโตรฟันหูขาดก็ได้ถามว่า " ข้าเห็นเจ้ากับท่านผู้นั้นในสวนไม่ใช่หรือ " 18:27 เปโตรปฏิเสธอีกครั้งหนึ่ง และในทันใดนั้นไก่ก็ขัน 18:28 เขาก็ได้พาพระเยซูออกไปจากบ้านของคายาฟาส ไปยังศาลปรีโทเรียมเป็นเวลาเช้าตรู่ พวกเขาเองไม่ได้เข้าไปในศาลปรีโทเรียม เพื่อไม่ให้เป็นมลทินและจะได้กินปัสกาได้ 18:29 ปีลาตจึงออกมาหาเขาเหล่านั้น แล้วถามว่า " พวกท่านมีเรื่องอะไรมาฟ้องคนนี้ " 18:30 เขาตอบท่านว่า " ถ้าเขาไม่ใช่ผู้ร้าย พวกข้าพเจ้าก็คงจะไม่มอบเขาไว้กับท่าน " 18:31 ปีลาตกล่าวแก่เขาว่า " พวกท่านจงเอาคนนี้ไปพิพากษาตามกฎหมายของท่านเถิด " พวกยิวจึงเรียนท่านว่า " การที่พวกข้าพเจ้าจะประหารชีวิตคนใดคนหนึ่งนั้น เป็นการผิดกฎหมาย " 18:32 ทั้งนี้เพื่อให้เป็นจริงตามพระดำรัสของพระเยซู ซึ่งตรัสไว้ว่าพระองค์จะทรงสิ้นพระชนม์อย่างไร 18:33 ปีลาตจึงเข้าไปในศาลปรีโทเรียมอีก และเรียกพระเยซูมาทูลถามว่า " ท่านเป็นกษัตริย์ของพวกยิวหรือ " 18:34 พระเยซูตรัสตอบว่า " ท่านถามอย่างนั้นตามความเข้าใจของท่านเองหรือ หรือว่าคนอื่นบอกท่านถึงเรื่องของเรา " 18:35 ปีลาตทูลตอบว่า " เราเป็นยิวหรือ ชนชาติของท่านเอง และพวกมหาปุโรหิตได้อายัดท่านไว้กับเรา ท่านทำผิดอะไร " 18:36 พระเยซูตรัสตอบว่า " ราชอำนาจของเรามิได้เป็นของโลกนี้ ถ้าราชอำนาจของเรามาจากโลกนี้ คนของเราก็คงจะได้ต่อสู้ไม่ให้เราตกอยู่ในเงื้อมมือของพวกยิว แต่ราชอำนาจของเรามิได้มาจากโลกนี้ " 18:37 ปีลาตจึงทูลพระองค์ว่า " ถ้าเช่นนั้นท่านก็เป็นกษัตริย์น่ะซี " พระเยซูตรัสตอบว่า " ท่านพูดว่าเราเป็นกษัตริย์ เพราะเหตุนี้เราจึงเกิดมาและเข้ามาในโลกเพื่อเป็นพยานให้แก่สัจจะ คนทั้งปวงซึ่งอยู่ฝ่ายสัจจะย่อมฟังเสียงของเรา " 18:38 ปีลาตทูลถามพระองค์ว่า " สัจจะคืออะไร " เมื่อถามดังนั้นแล้วท่านก็ออกไปหาพวกยิวอีก และบอกเขาว่า " เราไม่เห็นคนนั้นมีความผิด 18:39 แต่พวกท่านมีธรรมเนียมให้เราปล่อยคนหนึ่งให้แก่ท่านในเทศกาลปัสกา ท่านจะให้เราปล่อยกษัตริย์ของพวกยิวให้แก่ท่านหรือ " 18:40 คนทั้งหลายจึงร้องขึ้นอีกว่า " อย่าปล่อยคนนี้ แต่จงปล่อยบารับบัส " บารับบัสเป็นโจร
19:1 ปีลาตจึงเอาพระเยซูไปให้โบยตี 19:2 และพวกทหารก็เอาหนามสานเป็นมงกุฎสวมพระเศียรของพระองค์ และให้พระองค์สวมเสื้อสีม่วง 19:3 แล้วเขาก็มาหาพระองค์ทูลว่า " ท่านกษัตริย์ของพวกยิว ขอทรงพระเจริญ " และเขาก็ตบพระพักตร์พระองค์ 19:4 ปีลาตก็ออกไปอีกและกล่าวแก่เขาทั้งหลายว่า " ดูเถิด เราพาคนนี้ออกมามอบให้ท่านทั้งหลาย เพื่อให้ท่านรู้ว่าเราไม่เห็นว่าเขามีความผิดสิ่งใดเลย " 19:5 พระเยซูจึงเสด็จออกมาทรงมงกุฎทำด้วยหนามและทรงเสื้อสีม่วง ปีลาตจึงกล่าวแก่เขาทั้งหลายว่า " คนนี้อย่างไรล่ะ " 19:6 เมื่อพวกมหาปุโรหิตและพวกเจ้าหน้าที่ได้เห็นพระองค์ เขาทั้งหลายร้องอึงว่า " ตรึงเขาเสีย ตรึงเขาเสีย " ปีลาตกล่าวแก่เขาว่า " พวกท่านเอาเขาไปตรึงเองเถิด เพราะเราไม่เห็นว่าเขามีความผิดเลย " 19:7 พวกยิวตอบท่านว่า " พวกเรามีกฎหมาย และตามกฎหมายนั้นเขาควรจะตาย เพราะเขาได้ตั้งตัวเป็นพระบุตรของพระเจ้า " 19:8 ครั้นปีลาตได้ยินดังนั้นท่านก็ตกใจกลัวมากขึ้น 19:9 ท่านเข้าไปในศาลปรีโทเรียมอีก และทูลพระเยซูว่า " ท่านมาจากไหน " แต่พระเยซูมิได้ตรัสตอบประการใด 19:10 ปีลาตจึงทูลพระองค์ว่า " ท่านจะไม่พูดกับเราหรือ ท่านไม่รู้หรือว่าเรามีอำนาจที่จะปล่อยท่าน และมีอำนาจที่จะตรึงท่านที่กางเขนได้ " 19:11 พระเยซูตรัสตอบท่านว่า " ท่านจะมีอำนาจเหนือเราไม่ได้ นอกจากจะประทานจากเบื้องบนให้แก่ท่าน เหตุฉะนั้นผู้ที่อายัดเราไว้กับท่าน จึงมีความผิดมากกว่าท่าน " 19:12 ตั้งแต่นั้นไป ปีลาตก็หาโอกาสที่จะปล่อยพระองค์ แต่พวกยิวร้องอึงว่า " ถ้าท่านปล่อยชายคนนี้ ท่านก็ไม่ใช่มิตรของซีซาร์ ทุกคนที่ตั้งตัวเป็นกษัตริย์ก็เป็นปฏิปักษ์ต่อซีซาร์ " 19:13 เมื่อปีลาตได้ยินดังนั้นท่านจึงพาพระเยซูออกมา แล้วนั่งบัลลังก์พิพากษาณที่เรียกว่า ลานปูศิลา ภาษาฮีบรูเรียกว่ากับบาธา 19:14 วันนั้นเป็นวันเตรียมปัสกา เวลาประมาณเที่ยง ท่านพูดกับพวกยิวว่า " นี่คือกษัตริย์ของท่านทั้งหลาย " 19:15 เขาทั้งหลายร้องอึงว่า " เอาเขาไปเสีย เอาเขาไปเสีย ตรึงเขาเสียที่กางเขน " ปีลาตพูดกับเขาว่า " ท่านจะให้เราตรึงกษัตริย์ของท่านทั้งหลายที่กางเขนหรือ " พวกมหาปุโรหิตตอบว่า " เว้นแต่ซีซาร์แล้วเราไม่มีกษัตริย์ " 19:16 แล้วปีลาตก็มอบพระองค์ให้เขาพาไปตรึงที่กางเขน 19:17 เขาจึงพาพระเยซูไป และพระองค์ทรงแบกกางเขนของพระองค์ไปยังที่ซึ่งเรียกว่า กะโหลกศีรษะ ภาษาฮีบรูเรียกว่า กลโกธา 19:18 ณที่นั้นเขาตรึงพระองค์ไว้ที่กางเขนกับคนอีกสองคน คนละข้างและพระเยซูทรงอยู่กลาง 19:19 ปีลาตให้เขียนป้ายติดไว้บนกางเขนอ่านว่า " เยซูชาวนาซาเร็ธกษัตริย์ของพวกยิว " 19:20 พวกยิวเป็นอันมากได้อ่านป้ายนี้ เพราะที่ซึ่งเขาตรึงพระเยซูนั้นอยู่ใกล้กับกรุง และป้ายนั้นเขียนไว้เป็นภาษาฮีบรู ภาษาลาตินและภาษากรีก 19:21 ฉะนั้นพวกมหาปุโรหิตของพวกยิวจึงเรียนปีลาตว่า " ขออย่าเขียนว่า " กษัตริย์ของพวกยิว " แต่ขอเขียนว่า " คนนี้บอกว่า เราเป็นกษัตริย์ของพวกยิว " 19:22 ปีลาตตอบว่า " สิ่งใดที่เราเขียนแล้ว ก็แล้วไป " 19:23 ครั้นพวกทหารตรึงพระเยซูไว้ที่กางเขนแล้ว เขาทั้งหลายก็เอาฉลองพระองค์มาแบ่งออกเป็นสี่ส่วนให้ทหารคนละส่วน เว้นแต่ฉลองพระองค์ชั้นใน ฉลองพระองค์ชั้นในนั้นไม่มีตะเข็บ ทอตั้งแต่บนตลอดล่าง 19:24 เหตุฉะนั้นเขาจึงปรึกษากันว่า " เราอย่าฉีกแบ่งกันเลย แต่ให้เราจับฉลากกันจะได้รู้ว่าใครจะได้ " ทั้งนี้เพื่อให้เป็นจริงตามข้อพระธรรม ที่ว่า " เสื้อผ้าของข้าพระองค์ เขาก็แบ่งกัน ส่วนเสื้อของข้าพระองค์ เขาจับฉลากกัน 19:25 พวกทหารได้กระทำดังนี้ ผู้ที่ยืนอยู่ข้างกางเขนของพระเยซูนั้น มีมารดาของพระองค์กับน้าสาวของพระองค์ มารีย์ภรรยาของเคลโอปัส และมารีย์ชาวมักดาลา 19:26 เมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นมารดาของพระองค์ และสาวกคนที่พระองค์ทรงรักยืนอยู่ใกล้พระองค์ จึงตรัสกับมารดาของพระองค์ว่า " หญิงเอ๋ย จงดูบุตรของท่านเถิด " 19:27 แล้วพระองค์ตรัสกับสาวกคนนั้นว่า " จงดูมารดาของท่านเถิด " ตั้งแต่เวลานั้นมาสาวกคนนั้นก็รับมารดาของพระองค์มาอยู่ในบ้านของตน 19:28 หลังจากนั้น พระเยซูทรงทราบว่าทุกสิ่งสำเร็จแล้ว เพื่อให้เป็นจริงตามพระธรรม พระองค์จึงตรัสว่า " เรากระหายน้ำ " 19:29 มีภาชนะใส่น้ำส้มองุ่นวางอยู่ที่นั่น เขาจึงเอาฟองน้ำชุบน้ำส้มองุ่นใส่ปลายไม้หุสบชูขึ้นให้ถึงพระโอษฐ์ของพระองค์ 19:30 เมื่อพระเยซูทรงรับน้ำส้มองุ่นแล้ว พระองค์ตรัสว่า " สำเร็จแล้ว " และทรงก้มพระเศียรลงสิ้นพระชนม์ 19:31 วันนั้นเป็นวันเตรียม พวกยิวจึงขอให้ปีลาตทุบขาของผู้ที่ถูกตรึงให้หัก และให้เอาศพไปเสีย เพื่อไม่ให้ศพค้างอยู่ที่กางเขนในวันสะบาโต ( เพราะวันสะบาโตนั้นเป็นวันใหญ่ ) 19:32 ดังนั้น พวกทหารจึงมาทุบขาของคนที่หนึ่ง และขาของอีกคนหนึ่งที่ถูกตรึงอยู่กับพระองค์ 19:33 แต่เมื่อเขามาถึงพระเยซู และเห็นว่า พระองค์สิ้นพระชนม์แล้ว เขาจึงมิได้ทุบขาของพระองค์ 19:34 แต่ทหารคนหนึ่งเอาทวนแทงที่สีข้างของพระองค์ และโลหิตกับน้ำก็ไหลออกมาทันที 19:35 คนนั้นที่เห็นก็เป็นพยาน และคำพยานของเขาก็เป็นความจริง และเขาก็รู้ว่าเขาพูดความจริง เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เชื่อ 19:36 เพราะสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น เพื่อให้เป็นจริงตามข้อพระธรรม ซึ่งว่า " พระอัฐิของพระองค์จะไม่หักสักชิ้นเดียว 19:37 และมีข้อพระธรรมอีกข้อหนึ่งว่า " พวกเขาจะมองดูพระองค์ผู้ที่เขาได้แทง 19:38 หลังจากนี้โยเซฟชาวอาริมาเธียซึ่งเป็นสาวกลับๆ ของพระเยซู เพราะเขากลัวพวกยิว ก็ได้ขอพระศพพระเยซูจากปีลาต และปีลาตก็ยอมให้ โยเซฟจึงมาอัญเชิญพระศพพระองค์ไป 19:39 ฝ่ายนิโคเดมัส ซึ่งตอนแรกไปหาพระองค์ในเวลากลางคืนนั้นก็มาด้วย เขานำเครื่องหอมผสม คือมดยอบกับกฤษณาหนักประมาณสามสิบกว่ากิโลกรัมมาด้วย 19:40 เขาอัญเชิญพระศพพระเยซูลงมา เอาผ้าป่านกับเครื่องหอมพันพระศพนั้นตามธรรมเนียมฝังศพของพวกยิว 19:41 ในตำบลที่พระองค์ถูกตรึงที่กางเขนนั้นมีสวนแห่งหนึ่ง ในสวนนั้นมีอุโมงค์ฝังศพใหม่ที่ยังไม่ได้ฝังศพผู้ใดเลย 19:42 เพราะวันนั้นเป็นวันเตรียมของพวกยิว และเพราะอุโมงค์นั้นอยู่ใกล้ เขาจึงบรรจุพระศพพระเยซูไว้ที่นั่น
20:1 วันอาทิตย์เวลาเช้ามืด มารีย์ชาวมักดาลามาถึงอุโมงค์ฝังศพ นางเห็นหินออกจากปากอุโมงค์อยู่แล้ว 20:2 นางจึงวิ่งไปหาซีโมนเปโตร และสาวกอีกคนหนึ่งที่พระเยซูทรงรักนั้น และพูดกับเขาว่า " เขาเอาองค์พระผู้เป็นเจ้าออกไปจากอุโมงค์แล้ว และพวกเราไม่รู้ว่าเขาเอาพระองค์ไปไว้ที่ไหน " 20:3 เปโตรจึงออกไปยังอุโมงค์กับสาวกคนนั้น 20:4 เขาวิ่งไปทั้งสองคน แต่สาวกคนนั้นวิ่งเร็วกว่าเปโตรจึงมาถึงอุโมงค์ก่อน 20:5 เขาก้มลงมองดูเห็นผ้าป่านวางอยู่ แต่เขาไม่ได้เข้าไปข้างใน 20:6 ซีโมนเปโตรตามมาถึงภายหลัง แล้วเข้าไปในอุโมงค์เห็นผ้าป่านวางอยู่ 20:7 และผ้าพันพระเศียรของพระองค์ไม่ได้วางอยู่กับผ้าอื่น แต่พับไว้ต่างหาก 20:8 แล้วสาวกคนนั้นที่มาถึงก่อนก็ตามเข้าไปด้วย เขาได้เห็นและเชื่อ 20:9 เพราะว่าขณะนั้นเขายังไม่เข้าใจข้อพระธรรมที่เขียนไว้ว่า พระองค์จะต้องฟื้นขึ้นมาจากความตาย 20:10 แล้วสาวกทั้งสองก็กลับไปยังบ้านของตน 20:11 ฝ่ายมารีย์ยังยืนร้องไห้อยู่นอกอุโมงค์ ขณะที่ร้องไห้อยู่เธอก้มลงมองดูที่อุโมงค์ 20:12 และได้เห็นทูตสวรรค์สององค์สวมเสื้อขาวนั่งอยู่ ณที่ซึ่งเขาวางพระศพพระเยซู องค์หนึ่งอยู่เบื้องพระเศียร องค์หนึ่งอยู่เบื้องพระบาท 20:13 ทูตทั้งสองพูดกับมารีย์ว่า " หญิงเอ๋ยร้องไห้ทำไม " เธอตอบว่า " เพราะเขาเอาองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าไปเสียแล้ว และข้าพเจ้าไม่ทราบว่าเขาเอาพระองค์ไปไว้ที่ไหน " 20:14 เมื่อมารีย์พูดอย่างนั้นแล้ว ก็หันกลับมาและเห็นพระเยซูประทับยืนอยู่ แต่ไม่ทราบว่าเป็นองค์พระเยซู 20:15 พระเยซูตรัสถามว่า " หญิงเอ๋ย ร้องไห้ทำไม เจ้าตามหาผู้ใด " มารีย์สำคัญว่าพระองค์เป็นคนทำสวนจึงตอบว่า " นายเจ้าข้า ถ้าท่านเอาพระองค์ไป ขอบอกให้ดิฉันรู้ว่าเอาพระองค์ไปไว้ที่ไหน ดิฉันจะได้รับพระองค์ไป " 20:16 พระเยซูตรัสกับเธอว่า " มารีย์เอ๋ย " มารีย์จึงหันมาทูลพระองค์เป็นภาษาฮีบรูว่า " รับโบนี " ( ซึ่งแปลว่า อาจารย์ ) 20:17 พระเยซูตรัสกับเธอว่า " อย่าหน่วงเหนี่ยวเราไว้ เพราะเรายังมิได้ขึ้นไปหาพระบิดาของเรา แต่จงไปหาพวกพี่น้องของเราและบอกเขาว่า เราจะขึ้นไปหาพระบิดาของเรา และพระบิดาของท่านทั้งหลาย ไปหาพระเจ้าของเราและพระเจ้าของท่านทั้งหลาย " 20:18 มารีย์มักดาลาจึงไปบอกพวกสาวกว่า " ข้าพเจ้าได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว " และเธอได้บอกเขาทั้งหลายว่า พระองค์ได้ตรัสคำเหล่านั้นกับเธอ 20:19 ค่ำวันนั้นซึ่งเป็นวันอาทิตย์ เมื่อสาวกปิดประตูห้องที่พวกเขาอยู่แล้ว เพราะกลัวพวกยิว พระเยซูได้เสด็จเข้ามาประทับยืนอยู่ท่ามกลางเขาตรัสว่า " สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด " 20:20 ครั้นพระองค์ตรัสอย่างนั้นแล้ว พระองค์ทรงให้เขาดูพระหัตถ์และสีข้างของพระองค์ เมื่อพวกสาวกเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้วก็มีความยินดี 20:21 พระเยซูตรัสกับเขาอีกว่า " สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด พระบิดาทรงใช้เรามาฉันใด เราก็ใช้ท่านทั้งหลายไปฉันนั้น " 20:22 ครั้นพระองค์ตรัสดังนั้นแล้วจึงทรงระบายลมหายใจออกเหนือเขา ตรัสกับเขาว่า " จงรับพระวิญญาณบริสุทธิ์เถิด 20:23 ถ้าท่านจะยกความผิดบาปของผู้ใด ความผิดบาปนั้นก็จะถูกยกเสีย และถ้าท่านจะให้ความผิดบาปติดอยู่กับผู้ใด ความผิดบาปก็จะติดอยู่กับผู้นั้น " 20:24 ฝ่ายโธมัสที่เขาเรียกกันว่าแฝด ซึ่งเป็นสาวกคนหนึ่งในสิบสองคนนั้น ไม่ได้อยู่กับพวกเขาเมื่อพระเยซูเสด็จมา 20:25 สาวกอื่นๆ จึงบอกโธมัสว่า " เราได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว " แต่โธมัสตอบเขาเหล่านั้นว่า " ถ้าข้าไม่เห็นรอยตะปูที่พระหัตถ์ของพระองค์ และไม่ได้เอานิ้วของข้าแยงเข้าไปที่รอยตะปูนั้น และไม่ได้เอามือของข้าแยงเข้าไปที่สีข้างของพระองค์แล้ว ข้าจะไม่เชื่อเลย " 20:26 ครั้นล่วงไปแปดวันแล้ว เหล่าสาวกของพระองค์อยู่ด้วยกันในบ้านนั้นอีก และโธมัสก็อยู่กับพวกเขาด้วย ประตูปิดแล้ว แต่พระเยซูเสด็จเข้ามาประทับยืนอยู่ท่ามกลางเขา และตรัสว่า " สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด " 20:27 แล้วพระองค์ตรัสกับโธมัสว่า " จงยื่นนิ้วมาที่นี่และดูมือของเรา จงยื่นมือออกคลำที่สีข้างของเรา อย่าขาดความเชื่อเลย จงเชื่อเถิด " 20:28 โธมัสทูลพระองค์ว่า " องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ และพระเจ้าของข้าพระองค์ " 20:29 พระเยซูตรัสกับเขาว่า " เพราะท่านได้เห็นเราท่านจึงเชื่อหรือ ผู้ที่ไม่เห็นเราแต่เชื่อก็เป็นสุข " 20:30 พระเยซูได้ทรงกระทำหมายสำคัญอื่นๆ อีกหลายประการต่อหน้าสาวกเหล่านั้น ซึ่งไม่ได้บันทึกไว้ในหนังสือเล่มนี้ 20:31 แต่การที่ได้บันทึกเหตุการณ์เหล่านี้ไว้ ก็เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เชื่อว่า พระเยซูทรงเป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า และเมื่อมีความเชื่อแล้ว ท่านก็จะมีชีวิตโดยพระนามของพระองค์
21:1 ต่อมาพระเยซูได้ทรงสำแดงพระองค์แก่เหล่าสาวกอีกครั้งหนึ่ง ที่ทะเลทิเบเรียส พระองค์ทรงสำแดงพระองค์อย่างนี้ 21:2 คือ ซีโมนเปโตร โธมัสที่เรียกว่าแฝด นาธานาเอลชาวบ้านคานาแคว้นกาลิลี บุตรทั้งสองของเศเบดี และสาวกของพระองค์อีกสองคนกำลังอยู่ด้วยกัน 21:3 ซีโมนเปโตรบอกเขาว่า " ข้าจะไปจับปลา " เขาทั้งหลายจึงพูดกับท่านว่า " เราจะไปด้วย " แล้วพวกเขาก็ออกไปลงเรือ แต่คืนนั้นเขาจับปลาไม่ได้เลย 21:4 ครั้นรุ่งเช้า พระเยซูประทับยืนอยู่ที่ฝั่ง แต่เหล่าสาวกไม่รู้ว่าเป็นพระเยซู 21:5 พระเยซูตรัสถามเขาว่า " ลูกเอ๋ย มีปลาบ้างหรือเปล่า " เขาตอบว่า " ไม่มี " 21:6 พระองค์ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า " จงทอดอวนลงทางด้านขวาเรือเถิดแล้วจะได้ปลาบ้าง " เขาจึงทอดอวนลงและได้ปลาเป็นอันมาก จนลากอวนขึ้นไม่ได้ 21:7 สาวกคนที่พระเยซูทรงรักบอกเปโตรว่า " เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า " เมื่อเปโตรได้ยินว่า เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เขาก็หยิบเสื้อมาสวมเพราะตัวเปล่าอยู่ แล้วก็กระโดดลงทะเล 21:8 แต่สาวกคนอื่นๆนั้น นั่งเรือมา และลากอวนที่ติดปลาเต็มนั้นมาด้วย เพราะเขาอยู่ไม่ห่างจากฝั่งนัก ไกลประมาณหนึ่งร้อยเมตรเท่านั้น 21:9 เมื่อเขาขึ้นมาบนฝั่งเขาก็เห็นถ่านติดไฟอยู่ มีปลาวางอยู่ข้างบน และมีขนมปัง 21:10 พระเยซูตรัสกับเขาทั้งหลายว่า " เอาปลาที่ได้เมื่อกี้นี้มาบ้าง " 21:11 ซีโมนเปโตรจึงลงไปในเรือแล้วลากอวนขึ้นฝั่ง อวนติดปลาใหญ่เต็ม มีหนึ่งร้อยห้าสิบสามตัว ถึงมากอย่างนั้นอวนก็ไม่ขาด 21:12 พระเยซูตรัสกับเขาทั้งหลายว่า " มารับประทานอาหารกันเถิด " พวกสาวกไม่มีใครกล้าถามพระองค์ว่า " ท่านคือใคร " เพราะเขารู้อยู่ว่าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า 21:13 พระเยซูทรงเข้ามาหยิบขนมปังแจกให้เขา และทรงหยิบปลาแจกด้วย 21:14 นี่เป็นครั้งที่สาม ที่พระเยซูทรงสำแดงพระองค์แก่พวกสาวก หลังจากที่ทรงให้พระองค์คืนพระชนม์แล้ว 21:15 เมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้ว พระเยซูตรัสกับซีโมนเปโตรว่า " ซีโมนบุตรยอห์นเอ๋ย เจ้ารักเรามากกว่าเหล่านี้หรือ " เขาทูลพระองค์ว่า " เป็นความจริงพระเจ้าข้า พระองค์ทรงทราบว่าข้าพระองค์รักพระองค์ " พระองค์ตรัสสั่งเขาว่า " จงเลี้ยงลูกแกะของเราเถิด " 21:16 พระองค์ตรัสกับเขาครั้งที่สองว่า " ซีโมนบุตรยอห์นเอ๋ย เจ้ารักเราหรือ " เขาทูลตอบพระองค์ว่า " เป็นความจริงพระเจ้าข้า พระองค์ทรงทราบว่าข้าพระองค์รักพระองค์ " พระองค์ตรัสกับเขาว่า " จงดูแลแกะของเราเถิด " 21:17 พระองค์ตรัสกับเขาครั้งที่สามว่า " ซีโมนบุตรยอห์นเอ๋ย เจ้ารักเราหรือ " เปโตรก็เป็นทุกข์ใจที่พระองค์ตรัสถามเขาครั้งที่สามว่า " เจ้ารักเราหรือ " เขาจึงทูลพระองค์ว่า " พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงทราบทุกสิ่ง พระองค์ทรงทราบว่า ข้าพระองค์รักพระองค์ " พระเยซูตรัสกับเขาว่า " จงเลี้ยงแกะของเราเถิด 21:18 เราบอกความจริงแก่เจ้าว่า เมื่อเจ้ายังหนุ่มเจ้าคาดเอวของเจ้าเอง และเดินไปไหนๆตามที่เจ้าปรารถนา แต่เมื่อเจ้าแก่แล้ว เจ้าจะเหยียดมือของเจ้าออก และคนอื่นจะคาดเอวเจ้า และพาเจ้าไปที่ที่เจ้าไม่ปรารถนาจะไป " 21:19 ( ที่พระองค์ตรัสอย่างนั้น เพื่อแสดงว่าเปโตรจะถวายเกียรติแด่พระเจ้าด้วยการตายอย่างไร ) ครั้นพระองค์ตรัสอย่างนั้นแล้วจึงสั่งเปโตรว่า " จงตามเรามาเถิด " 21:20 เปโตรเหลียวหลังเห็นสาวกคนที่พระองค์ทรงรักตามมา สาวกคนนั้นคือคนที่เอนตัวลงที่พระทรวงของพระองค์ เมื่อรับประทานอาหารอยู่นั้น และทูลถามว่า " พระองค์เจ้าข้า ผู้ที่จะอายัดพระองค์คือใคร " 21:21 เมื่อเปโตรเห็นสาวกคนนั้นจึงทูลถามพระเยซูว่า " พระองค์เจ้าข้า คนนี้จะเป็นอย่างไร " 21:22 พระเยซูตรัสกับเขาว่า " ถ้าเราอยากจะให้เขาอยู่จนเรามานั้น จะเป็นเรื่องอะไรของเจ้าเล่า เจ้าจงตามเรามาเถิด " 21:23 เหตุฉะนั้นคำที่ว่า สาวกคนนั้นจะไม่ตายจึงลือไปท่ามกลางพวกพี่น้อง พระเยซูมิได้ตรัสแก่เขาว่าสาวกคนนั้นจะไม่ตายแต่ตรัสว่า " ถ้าเราอยากจะให้เขาอยู่จนเรามานั้น จะเป็นเรื่องอะไรของเจ้าเล่า " 21:24 สาวกคนนี้แหละที่เป็นพยานถึงเหตุการณ์เหล่านี้ และเป็นผู้ที่บันทึกสิ่งเหล่านี้ไว้ และเราทราบว่าคำพยานของเขาเป็นความจริง 21:25 มีอีกหลายสิ่งที่พระเยซูได้ทรงกระทำ ถ้าจะเขียนไว้ให้หมดทุกสิ่งข้าพเจ้าคาดว่า แม้หมดทั้งโลกก็น่าจะไม่พอไว้หนังสือที่จะเขียนนั้น ![]() ![]()
댓글을 불러오는 중입니다.
|